วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๓๙ นาโควาทกถา (ตอนที่ ๒)



นาโควาทกถา

     โย   ปุคฺฺคโล  บุคคลใดที่เกิดมาในโลกนี้   ถ้ามีโอกาสได้บรรพชาอุปสมบทให้เป็นเกียรติปรากฎในพระพุทธศาสนา  โส สาสนสฺสํ ทายาโท  มนุษย์ชนบุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นทายาทของพระพุทธศาสนา  ไม่เสียทีที่เกิดมาในโลกนี้   เป็นของหาได้ยาก  ฉนั้น ท่านเจ้าภาพเห็นว่า ของ ๔ อย่างนี้  สัตว์ทั้งหลายจะพึงได้โดยยากในโลกนี้  บัดนี้บุตรหลานของตนก็ได้ถึงแล้วจึงมิได้ประมาท  ไม่ละโอกาสอันดีนี้เสีย  จึงได้จัดการเชิญชวนหมู่ญาติ  หวังจะบรรพชาอุปสมบทบุตรหลานของตนไว้ในพระบวรพุทธศาสนา   เมื่อถึงกำหนดวันอุปสมบทจีงได่้เชิญท่านผู้รู้คัมภีร์ไสยศาสตร์มาจัดบายศรี ๕ ชั้น และบายศรีปากชาม ๓ หวี ตามประเพณีนิยม  เรียกว่า ทำขวัญ  ในบายศรีน้ันให้ใส่ไว้ซึ่งอาหารคาว และหวานแล้วจัดหาไม้มา ๓ ซึก  สำหรับค้ำจุนบายศรีมิให้ซวนเซ  จึงเอาด้ายดิบมาผูกมัดไว้ให้มั่นคง  ใบตองสด ๓ ใบ  หุ้มห่อไว่้ซึ่งบายศรี แล้วจัดหาผ้าอย่างดีมาผูกพันมีอัคคีจุดไว้ที่ปลายบายศรี  มีทั้งมะพร้าวอ่อน ไว้ให้เจ้านาคบริโภค  จึงเอาแว้นติดเทียนเวียน ๓ รอบให้ถูกระบอบตามประเพณีที่ได้กระทำสืบๆกันมา  สมมติเรียกว่าทำขวัญนี้เป็นปัญหาปริศนาธรรมทางโลก  ถ้าจะสงเคราะห์เข้าทางธรรมวินัยทางพระพุทธศาสนาก็ต้องอรรถาธิบายวา  ที่หมอกล่าวคำขวัญว่าศรีๆน้ัน  เป็นเครื่องหมายว่า เจ้านาคเจ้าจะเป็นผู้มีศีลแต่บัดนี้เป็นต้นไป  บายศรี  ๕ ชั้นนั้นมิใช่อื่นไกล ได้แ่ก ศีล๕ ประการ  บายศรีปากชาม ๓ หวีได้แก่ ไตรสิกขา  ๓ เพราะศีลทั้ง ๒ ประเภทนี้เป็นมูลรากแห่งศีลทั้งหลาย   ผู้มีศีลย่อมเป็นมิงขวัญสิริมงคลอันประเสริฐ  ศีลนี้แหละจะเปลี่ยนแปลงสภาพบุคคลจากนายนั่นนายนี่  เป็นพระภิกษุนั่นพระภิกษุนี้ได้ก็อาศัยศีล ส่วนอาหารคาวและหวานที่ใส่ไว้ในบายศรีน้ัน ท่านเปรียบไว้ให้พิจารณาว่า  เหมือนหนึ่งเนื้อหนังมังสาโลหิต  ในร่างกายแห่งเราท้ังหลาย  ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นาน  หน่อยหนึ่งก็จะเน่าเปื่อยทรุดโทรมถมทิ้งอยู่เหนือปฐพี  เป็นเครื่องสาธารณ์สูญหายจัดเป็นฝ่ายอนัตตา   ไม้ ๓ ซึก  ที่ค้ำบายศรีไว้มิให้ซวนเซนั้น  ท่านเปรียบไว้เหมือนหนึ่งกุศลบุญกรรมบถที่ค้ำจุนชีวิตบุคคลให้เป็นอยู่  ด้ายดิบที่มัดบายศรีนี้  ท่านเปรียบไว้ได้แก่มิจฉาทิฺฎฐิอุปาทานเห็นผิดจากคลองธรรม  ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ใบตองสด ๓ใบที่หุ้มห่อไว้ที่บายศรีน้ัน คือความโลภ โกรธ หลง  ตระหนี่เหนียว เข้าหุ้มห่อมิให้เห็นหนทางธรรม ผ้าหุ้มบายศรีน้ัน  ท่านเปรียบไว้ได้แก่ผู้ที่บรรพชาอุปสมบทแล้ว  ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยเข้าใจแจ่มแจ้งในทางผิดชอบชั่วดี  ตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่ได้บวช   ใบตองสดที่ลดลงไว้่บนตักของเจ้านารน้ัน เพื่อจะให้พิจารณาทางธรรมกัมมัฎฐานว่า   ไม่จีรังยั่งยืนอยู่ได้นานดจร่างกายแห่งเราท่านทั้งหลาย  มีแต่ว่าจะทุรดโทรมเหี่ยวแห้งไป  แว่นที่ติดเทียนเวียนไป ๓ รอบน้ัน ได้แก่ภพทั้่ง ๓ คือ  กามภพ ๑ รูปภพ ๑ อรูปภพ ๑  ย่อมชักจูงให้เราทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฎ  วุ่นวายอยู่ในกามคุณทั้ง ๕ ให้เหินห่างจากทางพระนิพพาน  อนึ่งหมอเอาไฟที่เทียนมาจดจ่อที่เจ้านาค  ให้รู้สึกว่าไฟเป็นเครื่องร้อน  แล้วจึงดับเสีย  ๓ ครั้ง  จึงเอาแป้งหอมน้ำหอมมา ละลายทาเจิมให้เจ้านาค นี้เป็นเครื่องเตือนว่า  เจ้านาคบวชแล้วจงดับเสียซึ่งไฟทั้ง ๓ กอง คื ราคัคคีกองหนึ่ง  โทสัคคีกองหนึ่ง  โมหัคคีกองหนึ่ง  เมื่อไฟทั้ง ๓ กองดับสนิทไม่มีเชื้อเหลืออยู่แล้ว  ก็จะมีความสุขกายเย็นใจดุจแป้งหอมน้ำหอมที่ละลายทาเจิมให้เจ่้านาค  ที่เขียนเป็นอักขระ   มะ อุะ อุ  นั้น  มิใช่อื่้นไกลได้แก่ อุปัจฌาชย์พระกรรมมวาจาและอนุสาวนาจารย์ มะ  อยู่ที่ไหล่ขวาน้ันคือ พระกรรมวาจาจารย์  อะ อยู่ไหล่ซ้ายน้ัน คือ พระอนุสาวนาจารย์  อุอยู่ที่หน้านั้นคือ พระอุปัชฌาชยะ  ท่านทั้ง ๓ นี้แหละจะเป็นผู้ชี้ทางทั้ง ๘ เส้น คือ อัฎฐังคิกมรรคทั้ง ๘ ประการ  ให้เจ้านาคดำเนินวาจาใจ  ขึ้นสู่สะพานทั้ง ๘ ทิศให้บ่ายหน้าเข้าสู่เมืองแก้ว  อันกล่าวแล้วคือพระนิพพาน  น้ำมะพร้าวอ่อนที่จะให้เจ้านาคบริโภคน้ันเพื่อเตือนว่า  เจ้านาคเมื่อบวชแล้วจงทำใจของตนให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ดุจน้ำมะพร้าว   เมื่อจิตของเจ่้านาคบริสุทธิ์ผ่องใส ก็จะเกิดปัญญาดุจประทีปที่จุดไว้ปลายบายศรีสำหรับจะได้ส่องฉายให้เป็นบาปบุญคุณโทษ  ประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์  สิ่งใดเป็นทุกข์  เป็นโทษก็จะได้ละเสีย  สิ่งใดเป็นประโยชน์ก็จะได้บำเพ็ญให้เกิดขึ่้นในขันธสันดาน เมื่อเจ้านาคน้อมจิตลงเห็นพระปรมัตถอรรถธรรมดังนี้แล้ว  ก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในทางโลกจนเกินไป  จะได้น้อมใจลงในคุณพระรัตนตรัย ให้เห็นว่าคุณสิ่งใดในโลกนี้ ที่จะเสมอเหมือนคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า  และคุณบิดามารดาาหามิได้  บิดามารดาย่อมมีอุปการะคุณแก่บุตรเป็๋นอย่างยิ่ง   แท้จริงอุปการะคุณของบิดามารดานี้  ย่อมมีคุณูปการะแก่บุตรเหลือที่จะคณนา  เมื่อยังไม่มีบุตรก็กระทำความปรารถนาซึ่งบุตรผู้จะกำเนิด  ในกาลนั้น ครั้นต้ังครรภ์แล้วก็ย่อมอภิบาลรักษาครรภ์บริหารมีประการต่างๆ อนึ่งมารดาอุตส่าห์อดอออมซึ่งอาหารทีเผ็ดร้อน  ด้วยเกรงว่าบุตรในครรภ์น้ันเป็นอันตราย ครั้นเมื่อบุตรน้ันคลอดแล้ว ความเมตตากรุณาของมารดาที่มีต่อบุตรหาที่สุดมิได้  ยามใดเมื่อบุตรปริเทวนาการร่ำร้องไห้  มารดาน้ันจะนิ่งอยู่มิได้  ย่อมประคองกอดไว้่แทบอุระให้บุตรดูดดื่มกินซึ่งกษีรธาราด้วยกำลังความเสน่หารักใคร่โลหิตในกายของมารดา แปรออกมาเป็นน้ำนมสำหรับให้บุตรบริโภคมิได้ปล่อยให้บุตรต้องวิโยคอยู่ห่างกาย   ย่อมทำให้บุตรรื่นเริงบันเทิงใจ   จนกว่าบุตรจะเจริญวัยใหญ่กล้า  สอนให้รู้พูดเจรจา  รู้เดิน รู้กิน รู้นอน  รู้กระทำการงานเลี้ยงชีวิตของตนได้

    ยญฺจ  มาตฺธนํ โหติ ยญฺจ โหติ ปิตฺธนํ  อนึ่งทรัพย์สินต่างๆ ที่เป็นของบิดามารดาก็ย่อมเก็บรวมรวมรักษาไว้เพื่อประโยชน์แก่บุตรทิ้งสิ้นทุกสิ่งทุกอัน  เมือ่จะพรรณนาไปถึงคุณของบิดามารดาที่มีต่อบุตรน้ันมากนัก  เท่าที่กล่าวมานี้พอให้เห็นประจักษ์โดยสังเขปเพียงเท่านี้  ก็การที่บุตรจะคิดตอบแทนคุณของบิดามารดาในทางโลกน้ัน  ย่อมไม่สามารถจะทดแทนให้สิ้นสุดได้   โย ปน ปุคฺโคต   ส่วนว่าบตุรผู้ใด  ปพฺพชิโต   ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา  จึงจะได้ชื่อว่าสนองคุณของบิดามารดาท้ังสองให้เต็มบริบูรณ์  และจะได้ชื่อว่าเป็นญาติกับพระศาสนา   ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสต้ังใจบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่นิยมนับถือของพทธบริษัท  บวชแล้วควรต้ังใจศ฿กษาเล่าเรียนและฝึกให้ถูกต้องเรียบร้อยแต่เบื่้องต้นไป เมื่อบรรพชาอุปสมบทแล้วจะได้ปฎิบัติให้เป็นเณรเป็นพระที่ดีจริงๆ  เมื่อเป็นเช่นนี้บิดามารดาจักได้ชื่อว่าบำรุงอุดหนุนพระพุทธศาสนาเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง คือ มอบบุตรให้แก่พระศาสนาเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป  ได้เท่าโอกาสที่บุตรจะอยู่ในพระพุทธศาสนาได้เพียงไร พระศาสนาที่มีอายุยืนยาวมาได้จนบัดนี้ก็เพราะอาศัยคนเก่าๆสืบต่อกันมา  แล้วตายไป  คนใหม่ๆ เข้าสืบต่อ โดยวิธีนี้พระพุทธศาสนาจึงมีอายุยืนยาวมาได้ถึง  ๒๕๐๐ ปีเศษแล้ว  เป็นประโยชน์แก่ประชุมชนผู่้ประพฤติตามเป็นอันมาก   หากช่วยกันสืบต่อไปได้อีกเพียงใด ก็จักยืนยาวไปเพียงนั้น  แต่ต้องสืบต่อด้วยความประพฤติดีปฎิบัติชอบจริงๆ  บวชแล้ว ถ้าไม่เป็นพระเป็นเณรที่ดี ประพฤติผิดธรรมวินัย กลับซ้ำร้ายเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมทรามเศร้าหมอง  บั่นทอนรอนอายุพระศาสนาให้สั้นเข้ามา  ไม่บรรพชาอุปสมบทเสียก็จะดีกว่า  ถ้าต้ังใจเล่าเรียนศึกษาประพฤติปฎิบัติชอบ  ก็จักเป็นบุญกุศลอันประเสริฐแก่ตนและมารดาญาติพี่น้องเป็นต้น   คนที่ไม่ศรัทธาเลื่อมใสจักเลื่อมใส  ที่มีศรัทธาเลื่อมใสแล้วจักเลื่อมใสยิ่งขึ้่น  เป็นการสมควรแท้ เพราะการที่ตัวมาบวช ต้องหยุดรายได้ทรัพย์สมบัติซึ่งเกิดจากทำไร่นาค้าขายเป็นอาทิ  ซ้ำต้องเพิ่มรายจ่ายให้มากขึ้น เช่นต้องซื้่อจ่ายเครื่องสมณบริขารเป็นต้น   เมื่อเป็นดังนี้จึงสมควรแท้ที่จะหารายได้คือบุญกุศลเมื่อเวลาบวชให้มากขึ้นจนสุดสามารถที่จะได้เพียงไร คือ การเล่่าเรียนศึกษาเกิดความรู้ความฉลาดอันจำกัดความไม่รู้ความโงเขลาออกไปเสีย   การฝึกหัดตัดกายวาจาใจ กับทิฎฐิความเห็นให้ได้ระเบียบถูกต้อง  ตลอดจนนิสัยใจคอและเป็นแแบบฉบับตัวอย่างทีดีแก่พระและสามเณรอื่นๆซึ่งจักได้ประพฤติปฎิบัติตาม  ทำให้ศาสนางดงามเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น  เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองตลอดถึงชาติ  ทำร่างกายชีวิตจิตใจให้เต็มไปด้วยประโยชน์ ไม่ประกอบด้วยโทษอันจักเบียดเบียนแผดเผาตนและคนอื่นให้เร่าร้อนรำคาญชีวิต  จักเป็นแก่นสารมีผลไม่เป็นหมัน  เป็นบุญกุศลทั้งกลางวันและกลางคืน  ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน  เวลาบวชแล้วอย่าลืมตัวมัวไปหลงเล่าเรียนศึกษา  แะประพฤติปฎิบัติแม้สิ่งที่เป็นคฤหัสถ์ทำได้  ไม่จำเป็นบวชแล้วต้องกระทำเช่นนั้น  จีงมีสติสัมปชัญญะระวังอยู่ให้มีเหตุมีเรื่องเสียหาย  และต้องถูกโทษทัณฑ์ ซึ่งจะเสียชื่อติดตัวไปจนตาย
     ใจความในเรื่องการบวชก็คือ  ละกิเลสอย่างหยาบ  อย่างกลาง   อย่างละเอียด  หรือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง  เมื่อบวชแล้วจงหมั่นพิจารณาตรวจตราความประพฤติความเป็นไปของตนเนืองๆ  ถ้ารู้สึกตัวว่าเป็นไปเพื่อพอกพูนอาสวะกิเลสเหล่าน้ัน  พึงเตือนตนเองว่าไม่ถูก  ผิดใจความของเรื่องบวช  จงเลิกละเสียทันที  รีบประพฤติความดีขึ้่นแทนโดยเร็วที่สุด  อย่าริเป็นเจ้าถ้อยหมอความทำให้เกิดอธิกรณ์เหตุการณ์มีขึ้นในชีวิต  ผิดใจความของเรื่องบวช   ไม่ตรงกับความประสงค์ที่จะมาหาบุญกุศล  ในเวลาที่บวชอยู่  ถ้าไม่วิวาทบาดหมางโกรธเคืองกับใครๆ  ได้เป็นอย่างดีที่สุด นับว่าเป็นคนดีมากหาได้ยาก ควรนึกว่าเป็นลาภอันยิ่งใหญ่ของตนได้รอดชีวิตพ้นอันตรายมาได้จนถึงได้บวช  ไม่ตายเสียก่อนบวชนับว่าเป็นโชคอย่างเหมาะแสนทีจะหาได้    ตัวเราก็เกิดมาในบ้านเมืองที่นับถือพระพุุทธศาสนา ไม่เป็นแต่สักว่านับถือได้ลงมือปฎิบัติตามด้วยกาย วาจา ใจ  เป็นอันว่าได้บำรุงอุดหนุนพระพุทธศาสนาด้วยร่างกายชีวิตจิตใจจริงแท้ด้วย   และเป็นโอกาสเหมาะที่สุดในชีวิตหนึ่งซึ่งได้ศึกษาพระศาสนาอย่างเต็มที่  ศึกษาแล้วได้ลงมือปฎิบัติด้วยกาย  วาจา ใจ  ตามแนวที่ได้ศึกษามานั้นด้วย
     ความจริงบาปอกุศลไม่ใช่หมดไป  และบุญกุศลไม่ใช่บริบูรณ์ขึ้น เพราะเหตแต่เพียงโกนผมกับนุ่งผ้าเหลืองเท่านั้น  นั่นเป็นเพียงเครื่องหมายเพศ บวชแล้วต้องอาศัยการศึกษาเล่าเรียนและประพฤติปฎิบัติให้ถูกต้องเต็มบริบูรณ์ตามหน้าที่  ถ้าบวชแล้วไม่ปฎิบัติดี  กลับทำความเสียหาย  ยิ่งซ้ำร้ายเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาด้วย ไม่ตรงกับความประสงค์ที่จะบวชบำเพ็ญกุศล  ถ้าทำถูกต้องตามท่าทางของบุญแล้ว  แม้ยังเป็นนาคอยู่ได้บุญก่อนบวชคือ ใจที่ผ่องแผ้วมี่ศรัทธาเลื่อมใสจะบวชก็เป็นบุญทางใจ  แต่นั้นเดินไปฝากตัวที่วัดฝึกหัดกายไว้กราบพระตามแบบอย่างก็เป็นบุญทางกาย  ท่องบ่นสาธยายคำขานนาค คำไหว้พระสวดมนต์เป็นต้น บุญก็เกิดทางวาจา ได้บุญก่อนบวชอย่างนี้ กำลังบวชอยู่ก็ได้บุญทั้ง ๓ ทางอย่างน้ัน  แม้บวชแล้วหรือสึกแล้วนึกขึ้นมาก็เกิดปิดิปราโมทย์ก็ดี  ทรางจำธรรมวินัยก็ดี  กล่าวแต่คำที่ควรพูดก็ดี  ทำด้วยกายตามส่วนที่ชอบซึ่งได้ศึกษาปฎิบัติมาแล้วก็ดี  ย่อมเกิดบุญทางกาย วาจา ใจ เหมือนอย่างน้ัน  ก่อนบวชก็ได้บุญ  กำลังบวชก็ได้บุญ  บวชสึกแล้วก็ได้บุญอย่่างนี้
     บุญได้ใน  ๓ กาลฉันใด  ถ้าทำผิดพลาดบาปก็ได้ใน ๓ กาลฉันนั้น  แต่ตรงกันข้ามกับบุญทั้งผลด้วย  และบุญไม่ใช่เกิดจากความเกียจคร้าน  บุญเกิดจากความดีมีความเพียรชอบเป็นต้น   เช่น บางคนเห็นว่า  เวลาบวชจะได้พักผ่อนร่างกายจิตใจที่บอบช้ำ  ลำบากมาในตอนเป็นคฤหัสถ์  ซึ่งต้องศึกษาและค้าขายทำไร่นาเป็นต้น   บวชแล้วจะกินนอนให้สบาย  คิดเช่นนี้เป็นการคิดผิดแท้  ควรแนะนำตนเองว่า  กินนอนเช่นน้ันสบายจริงตามที่นึก  แต่ความสบายน้ันพ้นเวลาไปแล้วก็หายหมด  คงเหลือปรากฎอยู่่แต่ความโง่เขลาทุกข์ยากลำบาก  ส่วนการท่องบ่นเล่าเรียนศึกษาพากเพียรปฎิบัติฝึกหัดตัดกาย วาจา ใจ เวลานั้นทุกข์ยากลำบากเหน็ดเหนื่อยจริง แต่ล่วงพ้นเวลาไปก็หายหมดเหมือนกัน  คงเหลือปรากฎแต่ความรู้่ความฉลาด และความเอมอิ่มใจว่าได้ปฎิบัติถูกต้องดีแล้วเป็นต้น  เมื่อเวลาบวชแล้วควรทำตนให้สมกับหน้าที่คือ ในเวลาบวชใหม่ยังไม่มีความรู้ความสามารถก็พึงประพฤติตัวให้เรียบร้อยตามพระธรรมวินัย ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระแก่เณรอื่นๆ เป็นต้น ให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสแก่ผู้ที่พบเห็นกราบไหว้บูชาทำอุปการะ ถ้าอยู่นานไปมีความรู้ความสามารถ  ควรหาโอกาสตักเตือนแนะนำพร่ำสอนให้เป็นประโยขน์แก่ผู้มีคุณน้ัน  หรือแก่ผู้อื่นอันเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์  และตั้งใจทำประโยชน์ให้แก่ศาสนานี้ เป็นการตอบแทนบุญคุณอย่างสมควรแ่ก่บรรพชิต ทำสำเร็จกิจประโยชน์แก่่ผู้อืน เป็นผลแก่ตนด้วยท้ัง ๒ฝ่าย   ซึ่งมีความตายอยุ่ข้างหน้าหนีไม่พ้น จักได้ไม่เสียทีที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา   ไม่ตายเสียก่อนได้บรรพชาอุปสมบท  ได้ประพฤติพรตพรหมจรรย์ศึลขันธ์  ในพระบวรพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่สัตว์จะพึงหาได้ยาก  นับว่าเป็นลาภอันประเสริฐของบุคคลที่เกิดมา  ย่อมเป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่พระนิพพาน  จะระงับดับเสี่ยซึ่งทุกข์ทั้งหลาย  ตามศัพท์บาลีว่า  สพฺพ ทุกฺข  นิสฺสรณ  นิพฺพาน จะได้พ้นเสียจากสรรพทุกข์ทั้งหลาย จะเป็นปัจจัยแก่นิพพาน  อันเป็นนาถะทีพึ่งอันเกษมสุขด้วยอานิสงส์ที่ปฎิบัตชอบ ในการบรรพชาอุปสมบทดังแสดงมา   พระธรรมเทศนาสอนนาคพอฉลองศรัทธาท่านเจ้าภา ก็ยุติลงแต่เพียงนี ้ เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น