วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๑๒ หลวงพ่อช่วยปราบโจร


๑๒. หลวงพ่อช่วยปราบโจร
เมื่อปี พ.. 2479 ชาวตำบลดอนยายหอม ยังจำกันได้ดีว่าเมื่อยามทุกข์เดือดร้อนไร้ที่พึ่งนั้น หลวงพ่อเงินนี้แหละ คือที่พึ่ง หลวงพ่อเงินเป็นมิ่งขวัญให้หายหวาดหวั่น พรั่นพรึง ภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของพวกเขา
ฤดูหน้าเกี่ยวข้าวปีนั้น ขณะที่ชาวนาตำบลดอนยายหอมกำลังลงแขกเกี่ยวข้าวอยู่ในนา ก็ถูกโจรหมู่หนึ่ง คุมพวกเข้าปล้นกลางทุ่งนา จับเอาชาวนาไป 7-8 คน คุมตัวเข้าป่า หายไป คือ นางปาน นางแปลก น..ลำเจียก น..ผ่อง น..ละออง น..เพียร น..ทองดี พวกปล้นอ้างตัวว่า เป็นเสือจากลุ่มแม่น้ำแม่กลอง คือ เสือพาน เสือฟุ้ง เสือเจียน เสือหยด
เมื่อปล้นจับตัวชาวนา 7 คนได้ ก็พาไปทางหลัก 6 อำเภอดำเนินสะดวก ปล่อยตัวนางแปลกกลับบ้านคนเดียว สั่งให้หาเงินไปไถ่ตัวในวันรุ่งขึ้น ถ้าผิดนัดจะฆ่าให้ตายทั้งหมด ค่าไถ่ตัวคนละ 50 บาท สมัยนั้นข้าวเปลือกราคาถังละ 3 บาท เกวียนหนึ่งก็ไม่เกิน 30 บาท เงิน 50 บาท ก็นับว่ามีค่ามากโขอยู่ คือต้องขายข้าวเปลือกประมาณ 2 เกวียน ครั้งนั้นชาวบ้านที่ถูกโจรจับเอาลูกเมียไปเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ ต้องหาเงินไปไถ่ตัวคืนมาได้ทุกคน โดยมอบให้นางแปลกนำเงินไปไถ่อีก
ทราบข่าวถึงหลวงธานินทร์ปฐมรัฐ (เพิ่ม สงขกุล) นายอำเภอ เมืองนครปฐม ร...แปลก ผจญทรพรรค ร...หลวงฤทธิสรไกร ร...พลอย ประทุม และ ขุนเชาว์ปรีชาศึกษากร ธรรมการอำเภอเมืองนครปฐม ผู้รักการผจญภัย ชอบปราบโจรสมัยนั้น จึงได้วางแผนยกกำลังออกต่อสู้โจรคณะนี้ ไปดักคอยโจรอยู่ เมื่อโจรยกพวกมาปล้น จึงได้เกิดการต่อสู้กัน ยิงกันสนั่นทุ่งดอนยายหอม ร...หมื่นผจญทรพรรค ถูกโจรยิงบาดเจ็บ ต้องส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลโดยด่วน
ขุนเชาวน์ปรีชาศึกษากร ได้ประกาศแก่ชาวตำบลดอนยายหอมว่า ใครมีปืนผาหน้าไม้ ก็ให้เอามาช่วยกันต่อสู้โจร ชาวตำบลดอนยายหอมที่เป็นชายฉกรรจ์หลาบสิบคน ก็คว้าปืนผาหน้าไม้ หอกดาบเท่าที่มีอยู่ พากันออกสู้รบกับโจรทั้งหมู่บ้าน
แต่ก่อนที่ชาวบ้านจะออกไปรบกับโจรคราวนี้ ได้พากันเดินเรียงแถวไปให้หลวงพ่อประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เสียก่อน จึงได้มีกำลังใจกล้าหาญมีขวัญดี ออกยิงสู้รบกับพวกโจรได้ จนพวกโจรคณะนั้นแตกหนีไป และไม่กล้ามารบกวนอีก
เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เหมือนกับ พระอาจารย์ธรรมโชติ อยู่เบื้องหลังชาวบ้านบางระจันครั้งกระโน้น ใครจะพูดว่า พระอาจารย์ชื่อดังทางพระเครื่องรางของขลังไม่ดีอย่างไร ก็ลองไปเป็นชาวบ้านบางระจัน หรืออย่างน้อยก็ชาวบ้านดอนยายหอมก็แล้วกัน ว่าในยามทุกข์เดือดร้อน ไร้ที่พึ่ง มีภัยอันตรายถึงชีวิตลูกเมียนั้น ใครจะเป็นที่พึ่งได้ พระพุทธเจ้าหรือ พระธรรมเจ้าหรือ เทวดาหรือ มันมองไม่เห็นตัว ไม่อุ่นอกอุ่นใจเหมือนได้เห็นหน้าหลวงพ่อที่เคารพนับถือ อย่างหลวงพ่อเงินนี้หรอก คนที่ปากดี อวดเก่ง อวดกล้า ไม่กลัวตายนั้น ก็ร่ายรำอยู่นอกม่าน ยามที่ยังไม่เห็นเงาของพญามัจจุราชทั้งนั้นแหละ แต่คนที่ไม่กลัวพญามัจจุราช ไม่กลัวความตายก็มีแต่ พระอาจารย์อย่างหลวงพ่อเงินนี้แหละ เป็นที่อุ่นใจเป็นที่พึ่งได้จริง ชาวดอนยายหอมรู้กันอย่างนี้ เมื่อแลเห็นหน้าหลวงพ่อเงิน ซึ่งเขาก็อธิบายไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร
ครั้งนั้นชาวบ้านช่วยกันกับเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองยิงโจรตายไปคนหนึ่ง แต่ชาวบ้านปลอดภัยทุกคน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๑๑ หลวงพ่อปราบการพนัน


๑๑.หลวงพ่อปราบการพนัน 
หลวงพ่อไม่ได้บวชเพื่อแสวงหาลาภ แสวงหาชื่อเสียง หรือแสวงหาลูกศิษย์ หลวงพ่อจึงไม่ประพฤติตามใจชาวบ้าน  เพราะฉะนั้น เมื่อหญิงชาวสุพรรณ มุ่งมั่นมาขอหวย หลวงพ่อจึงไม่ตามใจ เพราะเห็นแก่ศรัทธาความนับถือของเขา  ที่จริงถ้าหลวงพ่อจะรับสมอ้าง นิ่งอึ้งเสียก็ได้ ทำกิริยาอาการอย่างไรก็ได้ ให้หญิงทั้งสองตีใบ้ หรืออ่านลายแทงเอาเองก็ได้ เหมือนที่พระอาจารย์บางท่านทำกันอยู่  แต่หลวงพ่อไม่ได้ทำเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังบอกตรง ๆ ว่า
"ไม่รู้จักกับขุนบาล"
"ถ้าฉันรู้ว่าหวยออกอะไร ฉันก็บอกให้เด็กไปแทงเอาเงินมาสร้างวัดไม่ดีกว่าหรือ"
คำพูดอย่างนี้ เป็นคำพูดของคนที่มีจิตใจซื่อตรง รักษาสัตย์ รักษาธรรม ไม่มีการพูดอ้อมค้อมวกวนอะไรเลย หลวงพ่อไม่มีกลอุบายลวงใจคนให้เลื่อมใส
มิหนำซ้ำยังสอนเสียด้วยว่า "การคิดเล่นหวยแทงหวยนี่ มันเรื่องของคนตาบอด เรื่องของคนโง่"
บอกเสียด้วยว่า
"เงินไม่ใช่ของเล่น"
"ถึงจะถูกหวยรวยเงิน เงินมันก็ไม่อยู่กับเรานานหรอก  สู้ทำบุญทำกุศล (คือทำดี) ดีกว่า"
นี่คือความสัตย์ความจริงของหลวงพ่อเงิน ไม่มีลับลมคมใน ไม่มีไว้ชั้นเชิง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีกลมารยา ไม่หลอกลวงคนโง่เขลา  เมื่อเห็นว่าเขาโง่ ก็พูดก็บอกให้รู้ อย่างตรงไปตรงมา ไม่กลัวโกรธ ไม่กลัวว่าจะไม่มีคนนับถือ เพราะไม่แสวงหาชื่อ ไม่แสวงหาลาภ ไม่แสวงหาศิษย์  แต่ก็แปลกที่มีคนนับถือมากขึ้นตามวัน เดือน ปีที่ผ่านไป  นี่ละกระมังที่สุภาษิตฝรั่ง เขาก็บอกว่า
"ความซื่อสัตย์เป็นอุบายที่ดีที่สุด"
มีเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง สมควรจะนำมาเล่าไว้ประกอบเรื่อง ในการศึกษาพิจารณาวินิจฉัยประวัติของหลวงพ่อเงิน ว่าหลวงพ่อเงินมีดีอะไรนักหนา
ครั้งหนึ่ง นายฮะ คนจีนในตำบลบ้านดอนยายหอม ซึ่งมีนิสัยเหมือนคนจีนทั้งหลายทั้งปวง คือแสวงหาทรัพย์ ไม่ว่าทรัพย์ที่ได้มานั้นจะได้มาแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนอย่างไร ก็ไม่คำนึงถึง  คือเขาได้ยื่นคำร้องขอตั้งโรงยาฝิ่นขึ้นในตำบลดอนยายหอม ตามระเบียบของทางราชการไทยในสมัยนั้น ที่อนุญาตให้มีคนประมูลตั้งโรงยาฝิ่นจำหน่ายฝิ่นได้ เพื่อเอาเงินภาษีเข้าท้องพระคลังมหาสมบัติ แม้จะทำให้ราษฎรไทยต้องฉิบหายขายตัวล่มจมก็เป็นเรื่องของสัตว์ผู้โง่เขลาต่างหาก
เมื่อมีคนมาพูดเล่าให้หลวงพ่อเงินทราบ แทนที่จะคิดว่า เรื่องของโยมไม่ใช่กิจของสงฆ์  แทนที่จะวางอุเบกขาญาณอยู่แต่ในวัด หลวงพ่อเงินซึ่งเป็นลูกชายชาวบ้านธรรมดาการศึกษาก็ไม่สูงส่งอะไร กลับคิดไม่เหมือนคนอื่น หรือคิดไม่เหมือนรัฐบาลสมัยนั้น
หลวงพ่อเงินเริ่มพูดปรารภกับคนที่ไปมาหาสู่ท่านว่า
"ฉันใจไม่ดีเสียแล้ว"
"หลวงพ่อใจไม่ดีเรื่องอะไรล่ะครับ ?"


"ฉันได้ข่าวว่าไฟบรรลัยกัลป์ กำลังก่อขึ้นกลางหมู่บ้านของเรา ฉันกลัวว่ามันจะเผาผลาญทรัพย์สิน บ้านเรือน ไร่นา วัวควาย ของพี่น้องชาวบ้านนี้วอดวายไปหมด  ไฟพรรค์นี้มันร้ายแรงนัก มันเผาทั้งเงินทอง บ้านช่อง แม้กระทั่งวัวควายไร่นาทีเดียว  ต่อไปพวกเราก็จะพากันลำบากยากจนไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำมาหากิน ลูกเล็กเด็กแดงก็จะพลอยรับบาปไปด้วย  มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน"
หลวงพ่อพรรณนา ให้เห็นภาพพจน์
ผู้เฒ่าผู้แก่ฟังปริศนาของหลวงพ่อไม่ออก ก็ถามว่า
"หลวงพ่อรู้มาจากไหน ?"
หลวงพ่อย้อนถามว่า
"โยมอยู่บ้านยังไม่รู้อีกหรือนี่ ฉันอยู่วัดนี่ยังรู้เลย  ไฟบรรลัยกัลป์ก็คือโรงยาฝิ่นของเจ๊กฮะมันยังไงล่ะ !"   หลวงพ่อบอก
"เอาเถอะถ้ามันหลอกให้ชาวบ้านนี้สูบฝิ่นได้ ขืนไปมาหาสู่มัน มันก็จะนั่งหัวเราะ ว่ามันฉลาดกว่าคนบ้านนี้เมืองนี้ หนักเข้าคนทั้งตำบลก็ต้องตกเป็นขี้ข้ามัน เพราะฝิ่นมันกินจนหมดเนื้อหมดตัว"
ใครไปใครมาหลวงพ่อก็พูดอย่างนี้ ถึงแม้จะไม่ได้พูดซ้ำถ้อยคำ ซ้ำประโยคกัน ก็พูดทำนองเดียวกันนี้  หลวงพ่อเปรียบโรงยาฝิ่นของเจ๊กฮะ ว่า
- ไฟบรรลัยกัลป์      ไหม้วอดวาย
- ไฟนรก               ไหม้ทุกข์ทรมาน
- ไฟสุมขอน           ไหม้ไม่รู้จักดับ
- ไฟเย็น                ไหม้อย่างไม่รู้ตัว
จนเป็นที่รู้ทั่วกันไปทั่วทั้งตำบลว่า โรงยาฝิ่น เป็นสถานที่เลวร้าย เป็นสถานที่บาปกรรม ไม่ควรเข้าใกล้เป็นอันขาด  ใครเข้าไปก็เป็นคนโง่ ใครเข้าไปก็ไม่ใช่คนไทย ใครเข้าไปก็ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน  มีความหมายว่าอย่างนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยพูดอย่างนั้นเลยสักคำ คนก็เข้าใจกันอย่างนั้น ด้วยคำของคนชาวดอนยายหอมพูดจาเล่าขานกันต่อ ๆ ไป
เมื่อโรงยาฝิ่นของเจ็กฮะมาตั้งขึ้นแล้ว ก็ปรากฏว่าไม่มีใครในตำบลดอนยายหอมย่างกรายเข้าไปในโรงยาฝิ่นเลย  หนักเข้าเมื่อจำหน่ายยาฝิ่นไม่ได้ โรงยาฝิ่นของเจ๊กฮะก็ต้องเลิกไปเอง
นี่คือบุญฤทธิ์ของหลวงพ่อเงิน นี่คือบารมีของหลวงพ่อเงิน นี่คือประกาศิตของหลวงพ่อเงินแห่งวัดดอนยายหอม
เรื่องลักเล็กขโมยน้อยในตำบลดอนยายหอมจึงไม่มี กิตติศัพท์หลวงพ่อเงิน จึงมีคนพูดโด่งดังไปถึงหูนายอำเภอ และหูเจ้าเมืองนครปฐม

(โปรดติดตามตอนต่อไป) 




วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม...ตอน ๑๐ สอนคนขอหวย


๑๐.สอนคนขอหวย
หลวงพ่อเงิน จะเก่งทางคาถาอาคมอย่างไร มีเมตตามหานิยมขนาดไหน พระเครื่องรางของขลังจะศักดิ์สิทธิ์อย่างไร ก็เป็นเรื่องของลูกศิษย์ลูกหาจะพูดจาเล่าลือกันไปต่าง ๆ นานา  แต่คนที่รู้จักหลวงพ่อเงินจริง ๆ แล้ว ก็จะรู้แก่ใจดีว่า หลวงพ่อไม่เคยคุยอวดอะไร เวลาท่านจะแจกพระเครื่ององค์เล็ก ๆ หรือเหรียญรูปตัวของท่าน ท่านก็พูดว่า
"เอาไปเป็นที่ระลึกนะ"
"คนเขาเอาไปใช้ติดตัว เขาว่าดี"
ท่านไม่ได้พูดจาอวดอ้างเอาเอง หรือรับรองว่าของนี้ขลัง ของนี้ศักดิ์สิทธิ์ ของนี้ดีวิเศษทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกะพันชาตรีอะไรเลย  คราวหนึ่งพบท่าน ท่านเห็นว่าผู้เขียนเป็นลูกศิษย์ไปรับราชการอยู่ต่างหัวเมืองไม่ได้ไปหาท่าน ท่านก็พูดว่า
"ฉันสร้างพระผงเมตตาไว้รุ่นหนึ่งนะ อยากได้ก็ไปที่วัด"
แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้ไปขอรับจากท่าน  วันหนึ่งพบหญิงคนหนึ่งเป็นคนชาวนครปฐม  พูดถึงพระผงเมตตาของหลวงพ่อเงินว่าอยากได้ เขาก็ส่งให้องค์หนึ่ง ทำด้วยผงสีเหลืองอมแดง ขนาดสัก  คูณ ๑๐ มิลลิเมตร รูปสี่เหลี่ยม  ผู้หญิงที่ให้พระคนนั้น เป็นใคร ชื่อไรก็ไม่รู้จัก  ข้าพเจ้านึกในใจว่า นี่หลวงพ่อรักเราจึงอุตส่าห์ฝากให้หญิงคนนี้มาให้  คราวหนึ่งรำลึกว่าเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อยังไม่มี อยากได้ ก็ได้มา  เหรียญ ยังเก็บไว้จนบัดนี้
คราวหนึ่งมีงานทำบุญครบ  รอบ อายุ ๗๒ ปีของหลวงพ่อเงิน  ท่านสร้างเหรียญทองแดง รูปตัวท่านอายุ  รอบแจก  เมื่อผู้เขียนโผล่ไปในงาน พอเห็นหน้า หลวงพ่อก็เดินผ่านคนจำนวนมากบนศาลาการเปรียญเข้ามาหา ล้วงย่าม หยิบเหรียญรุ่น  รอบ พ..๒๕๐๕ ส่งให้  เหรียญ ไม่ได้พูดอะไรเลย
คราวหนึ่งเมื่อผู้เขียนจะเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่ที่เมืองสมุทรสงคราม เมื่อวันที่  ธันวาคม ๒๔๙๘ ได้ไปกราบลาท่านขุนเชาว์ปรีชาศึกษากร  ท่านขุนเชาว์ก็ไปหยิบเอาพระเครื่องหลวงพ่อเงินมอบให้เป็นที่ระลึก  องค์ เพราะท่านขุนเชาว์ปรีชาศึกษากร เป็นลูกศิษย์และเป็นกรรมการวัดดอนยายหอมคนหนึ่ง มีหน้าที่เกี่ยวข้องอยู่ในการสร้างพระเครื่องดินเผารุ่นนั้น
อย่างไรก็ดี ทุก ๆ คนไม่ว่าใครที่เป็นลูกศิษย์ หรือเคยไปหาหลวงพ่อเงิน จะเป็นที่รู้กันอย่างซาบซึ้งแก่ใจดีว่า คนที่ไปหาหลวงพ่อเงินจะได้รับการต้อนรับโอภาปราศรัย เป็นที่ชื่นอกชื่นใจแก่ทุกคน  ทุกคนจะได้รับสิ่งที่เป็นวัตถุติดมือไปเป็นที่ระลึก เป็นสิริมงคลแก่ตัวตามที่ออกปากขอท่าน  จะให้รดน้ำมนต์ ท่านก็อ่านโองการเวทย์มนต์รดน้ำมนต์ให้  จะขอเหรียญ ท่านก็หยิบยื่นให้  แต่สิ่งที่ได้รับไปพร้อมกันก็คือ "ธรรมะ" ที่ฝากแฝงอยู่ในคำสนทนาปราศรัยนั้น  บุคลิกลักษณะ ผิวพรรณ วรรณะ ของท่านก็ผ่องใส สง่าผ่าเผย มีแววแห่งความเมตตาแฝงอยู่ในน้ำเสียง และฉายแสงออกมาจากดวงตาคู่นั้น  น้ำเสียงกังวานแจ่มใส ผสมกลมกลืนกันอย่างประหลาด ระหว่างความมีอำนาจและความเมตตา  กิริยาก็สง่า ผสมกับความละมุนละไม และความสงบเสงี่ยมเยือกเย็น  ถ้อยคำที่กล่าวออกมาแต่ละคำแต่ละประโยคก็น่าฟัง น่าคิด น่าจดจำ น่าเคารพกราบไหว้อย่างสนิทใจ เรียกว่า "กราบเท้ากราบตีนได้อย่างน่าชื่นใจ ยกเอาเท้าขึ้นใส่หัวใส่เกล้าได้อย่างเคารพบูชา"  คำพูดนั้นเหมาะแก่กาลเทศะ เหมาะแก่บุคคล เหมาะแก่เหตุการณ์ มีคำอุปมาอุปไมยทางโลกทางธรรมอย่างแยบคาย  อันนี้แหละมีคุณค่ายิ่งกว่าคาถาอาคม เครื่องรางของขลังใด ๆ ทั้งสิ้น  ดูเหมือนว่าน้ำมนต์ พระเครื่องเหรียญอะไรเหล่านั้นเป็นแต่เพียงสื่อสารระหว่างตัวเรากับตัวท่านยามที่อยู่ห่างไกลกันเท่านั้น  ถ้าหากว่าพระเครื่องของท่านจะขลังและศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายได้จริง ๆ ก็เป็นเพราะ ผู้นั้นระลึกถึงท่าน ยึดเอาท่านเป็นที่พึ่งที่ระลึกในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ เมื่อยามอยู่ห่างไกล มิได้อยู่ต่อหน้าท่านเท่านั้น
แต่เมื่อยามอยู่ต่อหน้าท่านนั้น แม้คนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าตาหลวงพ่อมาก่อน พอเห็นท่านเข้าก็จะเกิดอาการสะดุดใจ  บุคลิกลักษณะของหลวงพ่อมีเสน่ห์ดึงดูดใจคนตั้งแต่แรกพบ ทำให้สะดุดตาสะดุดใจคน เหมือนมีพลังงานแม่เหล็กดึงดูดฉะนั้น
คราวหนึ่งหลวงพ่อเดินอยู่บนระเบียงองค์พระปฐมเจดีย์ มีชายหญิงหมู่หนึ่ง แต่งตัวภูมิฐาน เป็นผู้ดีมีการศึกษา เดินผ่านหลวงพ่อไปโดยไม่รู้จัก ก็พากันหันมามอง แล้วก็พูดจาปรารภกันว่า
"หลวงพ่อองค์นี้มีสง่าราศีดีจัง พระที่ไหนนะ ?"
มีเรื่องเล่ากันว่าวันหนึ่ง มีหญิงชาวสุพรรณ  คน เดินทางมาหาหลวงพ่อเงินถึงวัดดอนยายหอม  ที่รู้ว่าเป็นชาวสุพรรณ เพราะสำเนียงพูดก็เสียงเหมือนชาวดอนยายหอมนั่นแหละ แต่หางเสียงฟังออกว่าเป็นชาวสุพรรณ  เมื่อพบหลวงพ่อแล้ว ก็พูดจาตรงไปตรงมาตามประสาชาวบ้าน
"เขาลือกันว่าหลวงพ่อเก่งนักเก่งหนา ฉันอยู่ไกล ก็ต้องอุตส่าห์บากบั่นมาหา เพราะความยากจนนั่นแหละ จะมาหาหลวงพ่อขอหวยไปแทงให้รวยสักที"
หลวงพ่อฟังแล้วก็ยิ้ม ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มีกังวานแจ่มใสเหมือนดังมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหมือนเสียงของพระอินทร์พระพรหมก็ปานกันว่า
"โยม การที่โยมอุตส่าห์บุกน้ำข้ามคลองมาแต่บ้านไกลเมืองไกล ก็เพราะศรัทธาเลื่อมใสในตัวฉัน ฉันก็เห็นใจโยมมาก ว่านับถือฉันจริง  แต่ว่าฉันก็เสียใจที่ทำให้โยมต้องผิดหวังมาก  ของที่โยมทั้งสองต้องประสงค์นั้น ฉันไม่มีจะให้ เพราะฉันก็ไม่ได้รู้จักกับขุนบาลหวยที่ไหนเลย จะได้รู้ว่าเขาออกตัวอะไร แล้วก็จะบอกให้โยมเอาไปแทง  ถ้าฉันรู้ว่าหวยมันออกตัวอะไรแล้ว ฉันจะมัวโง่อยู่ทำไมล่ะโยม ฉันก็จะใช้ให้เด็กมันไปแทงเสียเองมิดีหรือ จะได้เอาเงินมาสร้างวัดให้มันสวยงามกว่านี้"
โยมทั้งสองผู้ศรัทธาก็นั่งงงอยู่
"อย่าไปหลงมันเลยโยม การพนันนั้นมันเป็นหนทางของคนตาบอดเขาเดินกัน คือมันมีแต่จะต้องเดาสุ่มเอา มองเห็นชัด ๆ อย่างคนตาดี ๆ นี้นะไม่มีหรอก  โยมก็เป็นคนมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังดีที่ตาของโยมยังไม่บอดยังไม่ฟาง แล้วโยมจะทำตัวเป็นคนตาบอดตาฟาง ให้คนอื่นเขาหลอกลวงทำไม  การพนันนั้น ไม่ผิดอะไรกับเบ็ดที่เขาเกี่ยวเหยื่อไว้ตกปลา ปลามันโง่ก็มองไม่เห็นเบ็ด คิดว่าเป็นอาหารจึงมากินเบ็ด หมดตัวเมื่อไรจึงจะรู้ว่าเดินทางผิด  มีบ้างไหมคนที่เล่นการพนันแล้วร่ำรวย สร้างหลักฐานได้ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลท่านเป็นพ่อแม่เรา ท่านคงไม่ห้ามหรอก  อีกอย่างหนึ่งเงินเป็นของมีค่ามีคุณ เป็นของที่ควรจะเก็บรักษาไว้ไม่ใช่ของเล่น ถ้าเอาเงินมาเล่นเสียแล้ว เงินจะอยากอยู่กับเราหรือ เพราะดูถูกเงิน เอาเงินไปทำเป็นของเล่นเสียแล้ว"
หญิงทั้งสองนั่งฟังเงียบ สงบนิ่ง จนได้ยินเสียงหัวใจเต้น  หลวงพ่อจึงเทศน์โดยไม่ต้องติดกัณฑ์เทศน์ เป็นการเทศน์นอกธรรมาสน์ต่อไปอีกว่า
"สมบัติทางโลกนั้น มันไม่ใช่ของแท้แน่นอนอะไรหรอกโยม ถึงโยมจะถูกหวยรวยเงินอาจจะมีโจรมาทุบตีปล้นเอาไปได้  แต่ถ้าโยมทำบุญทำกุศลไว้ โจรที่ไหนมันจะมาปล้นเอาไปได้"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)