วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ...ตอน ๓ ออกบวชในพระพุทธศาสนา




๓.ออกบวชในพระพุทธศาสนา

หลวงพ่อเงินเมื่อเติบโตเป็นหนุ่มขึ้นนั้น รูปร่างแข็งแรงสมบูรณ์สูงใหญ่ผึ่งผาย ผิวพรรณขาวสะอาด หน้าตาจัดว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามในตำบลนั้น  แต่ก็เป็นการประหลาดอยู่ไม่น้อยที่ไม่มีนิสัยเจ้าชู้เลย จึงไม่เคยมีคู่รักคู่ใคร่เหมือนหนุ่มชายคนอื่น  ไม่ชอบเที่ยวเตร่ไปไหน เหล้าไม่ดื่ม การพนันไม่เล่น อยู่แต่บ้านทำแต่งาน  ทำอะไรก็เรียบร้อยประณีต สะอาดเรียบร้อยทุกๆ อย่าง เรียกว่า ผู้หญิงสาว ๆ ก็สู้ไม่ได้  อาจารย์พรหมและนางกรอง บิดามารดา จึงมักจะพูดอยู่เสมอ ๆ ว่า "เอาลูกสาว  คนมาแลกก็ไม่เอา" มีความหมายว่า ถึงผู้หญิง  คนรวมกัน ก็สู้ลูกชายคนนี้ไม่ได้
ครั้นเมื่ออายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ครบบวชแล้ว บิดามารดาจึงได้จัดการบวชให้ตามประเพณี  พ่อแม่และลูกชาย มีความคิดตรงกัน คือบวชอย่างประหยัด ไม่จัดงานบวชอย่างเอิกเกริกมโหฬารอะไร ไม่มีการแห่แหน ไม่มีลิเกฉลองเหมือนอย่างชาวบ้านทั่วไป  เพียงแต่บอกญาติมิตรคนที่เคารพนับถือกัน จัดเครื่องอัฐบริขาร แล้วก็พากันไปวัด เดินประทักษิณเวียนโบสถ์  รอบ แล้วก็เข้าโบสถ์ ทำพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ สำเร็จเป็นภิกษุภาวะ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.. ๒๔๕๓ เวลา ๑๘.๑๕ นาฬิกา  พระอุปัชฌาย์ให้ฉายาว่า "จนฺทสุวณฺโณ" ตามตำราการตั้งฉายาตามวันเกิดของคนวันอังคาร วรรค จ ฉ ช ฌ ญ  พระอุปัชฌาย์ คือหลวงพ่อฮวย เจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม
เป็นที่น่าแปลกอยู่ประการหนึ่งคือ ในขณะทำพิธีอุปสมบทนั้น ได้เกิดลมพายุพัดอย่างแรง แล้วฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก คล้าย ๆ กับว่าเทพยดาฟ้าดิน ก็พลอยปรีดาปราโมทย์ อนุโมทนาในการอุปสมบทของหลวงพ่อเงินด้วย
เมื่อบวชได้  พรรษา ก็ท่องบทสวดมนต์  ตำนาน ๑๒ ตำนาน ได้หมดสิ้น  แล้วก็ท่องพระปาฏิโมกข์ได้ในพรรษาแรกนั้นเอง เป็นที่โจษขานกันมาก เพราะคนสมัยนั้นนับถือกันว่าใครท่องพระปาฏิโมกข์ในพรรษาแรก  พระภิกษุองค์นั้นปัญญาดี และมีบุญเก่ามาส่งเสริม จะเจริญในทางพระพุทธศาสนา
วันหนึ่งเมื่อไปโปรดสัตว์ คือบิณฑบาตที่บ้าน โยมบิดาก็พูดว่า
"คุณเงิน คุณอย่าจำวัดแต่หัวค่ำนัก เป็นพระไม่ได้ทำไร่ทำนาก็ควรจะฝึกหัดให้อดทน"
หลวงพ่อเงินทราบดีว่า โยมบิดาทราบเรื่องนี้ได้นั้นเพราะนั่งเข้าฌานเพ่งกสิณไปดูพระลูกชาย โดยฌานสมาบัติ หรือที่เรียกว่า นั่งทางใน
ต่อมาไม่ช้า เวลาค่ำ อาจารย์พรหมก็มักจะไปหาพระลูกชาย เพื่อถ่ายทอดวิชาเพ่งฌานสมาบัติให้
อาจารย์พรหมสอนพระลูกชายว่า
"จะเรียนวิชานี้ให้สำเร็จต้องประกอบด้วย ศรัทธา ความเชื่อมั่น  วิริยะ - ความเพียรพยายาม  ขันติ - ความอดทน  สัจจะ - ความถือสัตย์  อธิษฐาน - ความตั้งใจแน่วแน่"
ขั้นแรกต้องมีความเชื่อมั่น (ศรัทธา)
ขั้นสองต้องพากเพียรปฏิบัติ (วิริยะ)
ขั้นสามต้องมีความอดทน (ขันติ)
ขั้นสี่ต้องมีสัจจะในใจว่า จะต้องทำให้ได้เหมือนใจคิดและปากพูด ถ้าไม่สำเร็จก็ยอมเสียสละทุกอย่างได้  (สัจจะ)
ขั้นห้า คือ อธิษฐาน - ความตั้งมั่นในจิตใจ อ้างเอาคุณพระรัตนตรัย อ้างเอาคุณบิดามารดา อ้างเอาคุณแห่งศีล คุณแห่งทาน มาตั้งมั่นในใจ เพื่ออธิษฐานให้สำเร็จ(อธิษฐาน)
เล่าให้พระลูกชายฟังว่า
"เมื่อโยมเรียนวิชากับพระอาจารย์นั้น ท่านหัดให้เพ่งดวงอาทิตย์ตอนเช้า จนสามารถมองดูดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงได้ หลับตาก็มองเห็นดวงอาทิตย์ได้  นั่งสมาธิเพ่งดวงเทียนจับนิ่งอยู่ที่เปลวเทียน จนเมื่อหลับตาแล้ว ก็ยังแลเห็นดวงเทียนสว่างอยู่ที่เดิม  ให้นั่งที่ท่าน้ำ ใช้ดวงจิตเพ่งไปที่ผักตบชะวา แล้วภาวนาให้ผักตบชะวานั้นนิ่งอยู่กับที่ ด้วยอำนาจกระแสจิตได้  เมื่อทำเช่นนี้ จึงจะสามารถเรียนวิชาสำเร็จได้"
หลวงพ่อเงินจึงฝักใฝ่ตั้งใจฝึกหัด จนสำเร็จวิชาตามที่โยมบิดาสอนให้


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ...ตอน ๒. อภิชาตบุตร







๒.  กำเนิดอภิชาตบุตร

เมื่อบุตรชายคนที่ ๔ ของอาจารย์พรหม จะมาเกิดนั้น  นางกรองผู้ภรรยาได้ฝันว่า ได้ยินเสียงดังอู้มาแต่ไกล ๆ คล้ายมีลมพายุพัด จึงออกไปดูที่ชานเรือน ก็แลเห็นวัตถุสีเหลืองลอยมาจากท้องฟ้า ต้องแสงอาทิตย์เหลืองอร่ามดั่งสีทองคำ  เมื่อวัตถุนั้นลอยลงมาใกล้ ก็ตกใจแทบสิ้นสติ  เพราะสิ่งที่กำลังลอยลิ่วลงมานั้นคือ พญานาคตัวใหญ่เกล็ดสีเหลืองเหมือนทองคำ พญานาคนั้นชูเศียรขึ้น แลบลิ้น แล้วพูดกับนางกรอง เป็นภาษามนุษย์ว่า
"แม่จ๋า อย่าตกใจเลย  ฉันไม่ได้มาร้ายหรอก ฉันมาดี ฉันจะมาขออาศัยอยู่ด้วย"
พูดเท่านั้น พญานาคก็เลื้อยเข้ามาหา  นางกรองก็ร้องหวีดตกใจตื่นขึ้น เนื้อตัวสั่น เล่าความฝันให้สามีฟัง
อาจารย์พรหม พิจารณาความฝันของภรรยา ประกอบกับดูฤกษ์ยามตามตำราก็ทำนายฝันว่า
"เราจะได้บุตรชายที่มีบุญวาสนา มีวิชาความรู้ มีศีลมีธรรม มีชื่อเสียง  ลูกคนนี้จะได้บวชเป็นสมภารเจ้าวัด มีบุญฤทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่นับถือของคนทั่วบ้านทั่วเมือง  เพราะขึ้นชื่อว่างูนั้น ย่อมมีพิษ  นี่ขนาดพญานาค แล้วก็ลอยลงมาจากฟากฟ้า ซึ่งยังมีเกล็ดสีทองด้วย"
นับแต่วันนั้นมา นางกรองก็ตั้งครรภ์หนที่   นางกรองมีผิวพรรณผ่องใส ใคร ๆ ก็ทักทายว่าจะได้บุตรหญิง เพราะได้ลูกชายมาแล้วถึง ๓ คน  นางกรองรู้สึกเบื่ออาหารของคาวจำพวกเนื้อสัตว์ทั้งหลาย อยากจะกินแต่ผักผลไม้ อยากจะกินแต่ดินขุยปูนาในท้องทุ่ง ไปขุดเอาดินขุยปู อันละเอียดนั้นมาเผากินอยู่เสมอ (เรื่องกินดินขุยปูในท้องนานี้ เคยเห็นแม่ของผู้เขียนไปขุดเอามาเผากินเหมือนกัน ผู้เขียนก็เคยชอบกินด้วย รสมัน ๆ ดี คล้าย ๆ รสอะไรก็บอกไม่ถูก)
ครั้นท้องครบกำหนดทศมาส ๑๐ เดือนทางจันทรคติ คือ ๒๘๐ วัน ที่พระจันทร์เดินรอบโลก ก็เป็นวันที่มีโฉลกโชคชัยมงคล ตรงกับ วันอังคาร ขึ้น  ค่ำ เดือน ๑๐ ปีขาล  สุริยคติ ตรงกับวันที่ ๑๖ กันยายน พ.. ๒๔๓๓  นางกรองก็คลอดบุตรเป็นชาย ร่างกายสมบูรณ์ ผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้าน ผิดกว่าลูกคนก่อนๆ  มีปานขาวอยู่ที่หน้าอกข้างซ้าย มีปานแดงอยู่ที่ต้นแขนซ้าย เป็นรูปใบโพธิ์  ทำให้พ่อแม่พี่น้องดีใจมาก เพราะลักษณะมีบุญวาสนา  เพราะปานสีแดงรูปใบโพธิ์นี้ เป็นเครื่องหมายบอกว่า เป็นพระโพธิสัตว์อุบัติเกิดมาเพื่อสร้างบารมี  พูดกันตามภาษาชาวบ้านก็ว่า ผู้มีบุญมาเกิด  รูปร่างลักษณะก็ต้องโฉลก พ่อแม่ก็จะโชคดี เพราะมีอภิชาตบุตรมาเกิดในตระกูล  
การก็สมจริงตั้งแต่บุตรคนที่  เกิดมา พ่อแม่ก็ทำมาหากินได้ผลอุดมสมบูรณ์พูนเกิดขึ้นอย่างทันตาเห็น เรียกว่า "ลาภผลพูนทวี"  จึงได้ตั้งชื่อบุตรชายคนนี้ว่า "เงิน" เพราะเกิดมาทำให้พ่อแม่มีเงินมั่งคั่งขึ้น
เด็กชายเงิน บุตรชายคนนี้ เติบโตขึ้นก็มีนิสัยดี ไม่ประพฤติเกเรอะไรเลย  ไม่เคยพูดจาคำหยาบคาย ด่าทอใครก็ไม่เป็น ผิดกว่าลูกชายชาวบ้านชายไร่ชาวนาทั้งหลาย  อาจารย์พรหมสอนหนังสือให้ที่บ้าน ก็เรียนเก่ง จำแม่นตั้งใจเรียน เรียนหนังสือเก่งเกินวัย เป็นคนขยันขันแข็ง และมัธยัสถ์อดออม  พ่อแม่ให้สตางค์ก็ไม่เคยใช้ ไม่เคยเที่ยวงานวัด หิวก็กินข้าวที่บ้าน เวลาไปวัดทำบุญ แทนที่จะไปเที่ยวดูลิเก ก็ช่วยพระทำงานวัด ชอบปรนนิบัติรับใช้พระในวัด  นิสัยผิดแปลกกว่าลูกชายชาวบ้านทั้งหลาย จนกระทั่งอาจารย์พรหมพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า
"พ่อเงินนี้ ถึงใครจะเอาลูกสาว  คนมาแลกก็ไม่ต้องการ"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม...ตอน ๑.โยมบิดา-มารดา

  


 พระราชธรรมาภรณ์

หลวงพ่อเงิน

วัดดอนยายหอม






๑.
 โยมบิดา-มารดา

หลวงพ่อเงิน เป็นพระภิกษุ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ มีสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ชั้นราช ที่ พระราชธรรมาภรณ์  แต่คนทั้งหลายรู้จักในนามของ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
หลวงพ่อเงิน เป็นบุตรของนายพรหม และนางกรอง ด้วงพูล  ราษฎรตำบลยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม  มีอาชีพทำนา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา  คน คือ
นายอยู่       ด้วงพูล
นายแพ       ด้วงพูล
นายทอง     ด้วงพูล
พระราชธรรมาภรณ์ (เงิน  ด้วงพูล)
นายเนียม     ด้วงพูล
นายแจ้ง       ด้วงพูล
นายเมือง     ด้วงพูล

นายพรหม ด้วงพูล  โยมบิดาของหลวงพ่อเงินนั้น เป็นอุบาสกผู้เคร่งครัดในศีลธรรม เคยบวชเรียนมา ๓ พรรษา  มีความชำนาญในทางสมถะภาวนา ได้ฌานโลกีย์ สามารถเข้าฌานเพ่งจิตเห็นอะไรได้ทั้งใกล้ไกล ลี้ลับอย่างไรก็รู้ได้แจ้ง  ใครมีทุกข์เดือดร้อนอะไร ไปหาให้ดูให้ นายพรหมก็สามารถบอกได้ถูกต้อง  นอกจากนั้นยังเป็นแพทย์แผนโบราณด้วย ใครป่วยไข้ก็ไปหาให้ประกอบยารักษาโรคให้  คาถาอาคมก็ได้รับความนับถือ โดยเฉพาะทางเมตตามหานิยม และเสกหุ่นพยนต์สำหรับเฝ้าบ้าน  เรื่องนี้ก็มีคนเล่าลือนับถือกันอยู่ในสมัยนั้น  เล่ากันว่า นายพรหมมีความเชี่ยวชาญทางกสิณมาก ถึงขนาดผักตบชวาที่ลอยน้ำมาในลำคลอง นายพรหมก็สามารถเพ่งกสิณสำรวมจิตบังคับให้ผักตบชวาลอยทวนกระแสน้ำไหลได้  เล่าลือกันถึงกับว่า แม้เรือเหาะ เรือบินที่แล่นอยู่บนอากาศ เมื่อเพ่งกระแสจิตไป ก็ทำให้เรือบินหยุดอยู่กับที่ได้ด้วย  คนทั้งหลายจึงนับถือนายพรหม ด้วงพูล เป็นอาจารย์  เรียกกันว่า อาจารย์พรหม หรือ หมอพรหม เป็นที่รู้จักนับถือกันอยู่ในสมัยโน้น
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็จะขอแวะเล่าเรื่องจริงประกอบสักเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ  ที่ตำบลตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม สมัยเดียวกันนี้  ก็มีคนหนึ่งชื่อ หมอแก้ว มีผู้คนทั้งตำบลนับถือกันมากว่า ท่านนั่งทางในดูอะไรเห็นหมดเหมือนตาเห็น แต่มีเคล็ดอยู่ว่า เมื่อไปหาท่าน เมื่อขึ้นเรือนไปพบหน้าท่าน ให้บอกเรื่องที่จะดูให้ทราบก่อน ห้ามพูดถึงเรื่องอื่น 

มีเรื่องจริงอยู่  เรื่อง  เรื่องที่แม่ข้าพเจ้าไปดูด้วยตนเอง คือ คราวหนึ่งทองที่บ้านป้าหายไป ป้าก็สงสัยยาย คือแม่ของตัว เพราะยายเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว ยายจึงให้แม่ไปดูหมอแก้ว  หมอแก้วบอกว่าทองเหน็บอยู่ข้างฝาทิศตะวันตก ห่อกระดาษสีแดง ให้กลับไปดู  เมื่อกลับมาค้นดูก็พบทองเส้นนั้น เจ้าของเก็บไว้เองแล้วลืมที่เก็บ
เรื่องที่สอง ควายออกลูกใหม่ๆ ได้ไม่กี่วันก็หายไป แม่ควายนมคัด ก็ร้องเรียกหาลูกทั้งวัน แม่จึงไปหาหมอแก้วดู  หมอแก้วบอกว่า ลูกควายนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทางทิศหรดี ให้ไปดูแล้วจะพบ  เมื่อกลับมาดู ก็พบลูกควายนอนอดนมอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่
เรื่องที่สาม นายผิว ศรีสุข หลานแม่  ไปตัดไม้ในป่าเมืองกาญจน์ ถึงกำหนดกลับไม่กลับ  มีคนเล่าลือกันว่า นายผิวตายเสียแล้ว นางเมียก็ร้องไห้มาบอกแม่ แม่จึงไปหาหมอแก้วดู  หมอแก้วบอกว่าไม่ตายหรอก สบายดี กำลังเดินทางกลับจะถึงบ้านแล้ว ไปนี่ให้หุงข้าวไว้ล่วงหน้า เขาจะได้กลับมากินข้าว  ก็จริงเหมือนปากว่า แม่กลับบ้านสักพัก นายผิวก็เดินทางกลับถึงบ้าน
เรื่องนั่งทางในเห็นอะไรได้ในที่ไกล จึงเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดในหมู่ผู้ได้ฌานสมาบัติ หรือสำเร็จวิชากสิณ  ในพระพุทธศาสนา เรื่องเพ่งอะไรหยุด เพ่งเทียนดับ หรือเพ่งเครื่องยนต์ดับนี้ ก็ได้ยินอยู่บ่อยๆ พระอาจารย์บางองค์นั้นเพ่งเทียนก็ดับ  พระอาจารย์ฝั้นว่า ไม่อยากขึ้นเครื่องบิน กลัวจิตจะเผลอไปเพ่งเครื่องยนต์ของเรือบินเข้า เพราะเคยนั่งรถยนต์เพ่งเครื่องยนต์รถยนต์ก็ดับ  นี่คืออำนาจของฌานสมาบัตินำมาเล่าประกอบเรื่องนี้ไว้ เพื่อแก้สงสัยของนักวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ จะโจมตีเอาได้

ก็เอาเป็นว่า นายพรหม ด้วงพูล โยมบิดาของหลวงพ่อเงินนั้น  มีความรู้ ความชำนาญทางเพ่งฌานสมาบัติ เป็นที่นับถือของชาวบ้านทั้งหลายในสมัยโน้น ซึ่งได้ถ่ายทอดมาสู่บุตรชายคือหลวงพ่อเงินด้วย.




                                                           (โปรดติดตามตอนค่อไป)