วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๓๖ ความเฉลียวกับความฉลาด


ความเฉลียวกับความฉลาด

     ในที่นี้จะได้พูดถึงความเฉลียวฉลาดของมนุษย์  จะไม่ขอพูดถึงความเฉลียวฉลาดของสัตว์   ความฉลาดนั้นได้แก่ปัญญา   ความเฉลียวได้แก่สติ   ความฉลาดนี้ใช้ได้ทั้งความเจริญและความเสื่อม   ความฉลาดนั้นทำไปตามความพอใจ หรือความรู้ความเห็น  ความชอบใจของตน   ส่วนความเฉลียวนั้น คือความระลึกได้ว่า  สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งความดี สิ่งน้ันเป็นเหตุแห่งความชั่ว  สิ่งนี้เป็นความสุข  สิ่งนี้เป็นความทุกข์  สิ่งนี้เป็นความเจริญ  สิ่งนั้นเป็นความเสื่อม  สิ่งนี้เป็นหายนะ  สิ่งน้ันเป็นวัฒนะ  มนุษย์เราตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์มาตามประวัติศาสตร์  กล่าวว่า ไม่ผิดอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน  ไม่มีสติปัญญาที่จะทำมาหากิน  อยู่ปนกับสัตว์เดรัจฉาน  เมื่อหิวขึ้นมาก็รูดใบไม้ ลูกไม้ รากไม้ และจับสัตว์มาฆ่ากินเนื่้อดิบๆ  เป็นอาหาร  เอาใบไม้ปกปิดร่างกายกันความอาย  เป็นมาดงันี้ตั้งหลายพันปี   ต่อมาค่อยมีความเจริญขึ้น  รู้จักเอาไม้มาสีกันเข้าทำให้เกิดไฟใช้ในการหุงต้มอาหาร  และปิ้งจี่เนื้อสัตว์กิน  รู้จักปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารไว้เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต  และมีสติปัญญาทำเครื่องนุ่งห่มขึ้นแทนใบไม้  และรู้จักเอาใบไม้มาทำเป็นที่อยู่อาศัย  ค่อยเจริญขึ้นเป็นลำดับ   อาศัยด้วยความไตร่ตรองใคร่ครวญ  สมตามคำพุทธภาษิตที่กล่าวว่า   "นิสฺสมฺกรณํ  เสยฺโย"  ใคร่ครวญเสียก่อนค่อยทำดีกว่า   ต่อมาจึงพิจารณาเห็นว่า  บนหัวคนเรานี้ จะทำอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์บ้าง   จึงเห็นว่า   ธรรมดาของมนุษย์ทุกๆ คน ต้องการร่มด้วยกันทั้งน้ัน  ไม่มีใครเลยที่ต้องการตากแดด  เมื่อเป็นเช่นนี้  จึงได้คิดทำหมวก  ทำร่มขึ้น  เพื่อใช้สำหรับป้องกันฝน  ป้องกันแดด เมื่อเดินไปในที่แจ้ง  ดังนั้น คนที่มีความเฉลียวฉลาดจึงประกอบขึ้่นเป็นสินค้าอย่างใหญ่โต  จนเป็นคนมั่งมีร่ำรวยขึ้น  แล้วกลับมาพิจารณาถึงผมว่า  ถ้าปล่อยไว้ให้ยาวรุงรังโดยไม่ตัดไม่โกน  ก็จะน่าเกลียดและเหม็นสาปเหม็นสาง  คนที่เฉลียวฉลาดจึงด้คิดทำเครื่องตัดเครื่องโกน  ทั้งได้คิดทำหวี  ทำสบู่  ทำน้ำมัน  ทำน้ำหอมและเครื่องตัดผมขึ้น  เพื่อใช้ในการตกแต่งผมให้สวยงามยิ่งขึ้น  และรู้จักสร้างตึกสร้างบ้านเรือน  สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยขึ้นอย่างใหญ่โตและสวยงาม  ตลอดทั้งคิดทำเครื่องพาหนะใช้ในการโดยสาร  มีทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ  จะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องเดิน  จะไปทางอากาศก็ขึ้นเครื่องบิน  คนที่มีสติปัญญา ยังรู้จักทำเครื่องนุ่งห่มขึ้นอย่างประณีตและสวยงาม  รู้จักประกอบยาขึ้นเพื่อแก้ไข้  ให้หายจากโรคอยู่เป็นสุขสำราญ  และรู้จักปรุงอาหารขึ้นรับประทานอย่างประณีตและโอชะ  ตลอดถึงรู้จักทำเรือกสวนไร่นา  ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร  ไ้ด้รับผลอย่างสมบรูณ์
     การที่มนุษย์มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาถึงเพียงนี้  ซึ่่งผิดกับสมัยดึกดำบรรพ์  ก็เนื่่องมาจากความเฉลียวฉลาดนั่นเอง  มิใช่ทำส่งๆ หรือทำไปตามความเห็นของตนเอง  เช่น ลิงเฝ้าสวน  เห็นคนรดน้ำต้นไม้ รดแต่ยอดลงมา มันจะถึงดินหรือโคนต้นไม้เมื่อไร เมื่อเจ้าของไปแล้ว  ได้สั่งให้ลิงรดน้ำต้นไม้บ้าง  ลิงจึงถอนต้นไม้ขึ้นแล้วก็เอาน้ำรดลงไป  จึงเอาต้นไม้ปลูกลงไว้ ทำไปดังนี้จนต้นไม้เหล่าน้ันตายจนหมด  การที่ลิงทำดังน้ันก็เพราะความดื้อรั้น  ถือเอาความเห็นของตนเป็นประมาณ  ถ้าเป็นคนก็เป็นคนโง่  ชนิดที่เรียกว่า "โง่ดักดาน"  เช่น  สัจจนิครนถ์   ผู้มีนิสัยละทิ้งความสัตย์  ใฝ่ใขแต่จะยกย่องถ้อยคำของตนให้สูงประหนึ่งว่ายกธง  เป็นผู้มึดมนมัวเมา  หยิ่ง เป็นคนเจ้าโวหาร เข้ามาตอบโต้กับพระพุทธเจ้า พระองค์รู้นิสัยแล้วตรัสเทศนาเอาชนะได้นี้  เรียกว่า ผู้มีปัญญา  แต่ขาดสติเสียแล้ว  ย่อมหาสาระประโยชน์ทีแท้จริงแน่นอนไม่ได้   ถ้าจะเปรียบอีกนัยหนึ่ง  ก็ได้แก่เครื่องจักรที่ไม่มีคนขับดำเนินไปตามยถากรรมของตน  ถ้าเป็นคนก็ถือเอาแต่ความเห็นของตนเป็นใหญ่ จะได้รับแต่ความเดือนร้อนทุกข์ยากลำบาก  ย่อมไร้สาระประโยชน์หาความสุขมิได้  คนที่ถือเอาแต่ความเห็นของตนเป็นประมาณ  ไม่ประพฤติตามขนบธรรมเนียมประเพณีและข้อบังคับบัญชากติกาของผู้เป็นประมุขประธาน  การที่ประพฤติดังน้ัน  มีแต่ความเสื่อมเสียฝ่ายเดียว  บางคนไม่มีความรู้  แต่พูดอวดฉลาด  บางคนรู้ดีแต่ไม่พูด
   
     ฉนั้นจะได้ยกตัวอย่างคน ๔ จำพวกเพื่อเป็นคติจะได้ถือไว้เป็นข้อปฎิบัติคือ  คนจำพวกที่ ๑ "ดีแต่พูดทำไม่ได้"   จำพวกที่๒ "ทำได้แต่พูดไมได้"  จำพวกที่ ๓ "ทำก็ไม่่ได้  พูดก็ไม่ได้"   จำพวกที่๔ "ทำก็ได้พูดก็ได้"
     "คนที่พูดได้แต่ทำไม่ได้"  คนชนิดนี้ย่อมไม่เป็นสาระและไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย  อุปมาเหมือน "ฟ้าร้องแต่ฝนไม่ตก"  คนที่ต้องการน้ำฝนย่อมไม่ได้รับน้ำฝนฉันใด  คนทีดีแต่พูดทำไม่ได้ ก็ฉันนั้น
     "คนที่ทำได้แต่พูดไม่ได้"   คนชนิดนี้ได้ผลมาก  อุปมาเหมือน "ฝนตกแต่ฟ้าไม่ร้อง"   ผู้ที่ต้องการน้ำฝนย่อมได้รับน้ำฝนฉันใด  คนทีทำได้แต่พูดไม่ได้ก็ฉันน้ัน
     "คนที่พูดก็ไม่ได้  ทำก็ไม่ได้"   คนชนิดนี้น่าสงสาร  แต่ก็ยังดีที่ไม่ทำให้คนเดือดร้อน   อุปมาเหมือน"ฝนก็ไม่ตก ฟ้าก็ไม่ร้อง"
     "คนที่ทำก็ได้  พูดก็ได้"  คนชนิดนี้ดีเป็นเลิศประเสริฐสุด  อุปมาเหมือนฝนก็ตกฟ้าก็ร้อง
     คนที่เป็นเช่นนี้ได้   ก็ต้องอาศัยความเฉลียวฉลาดทั้ง ๒ ประการ  ควบคู่กันไป เวลานี้รัฐของเรา  ปกครองแบบประชาธิปไตย  มีสภา ๒ สภา  คือ วุฒิสภา  และสภาผู้แทนราษฎร  สภาหนึ่งคิดจะดำเนินประเทศชาติไปสู่ความเจริญ  อีกสภาหนึ่งคอยพิจารณาดูว่าจะไปสู่ความเจริญหรือความเสือม เมื่อเห็นว่าจะดำเนินประเทศชาติไปสู่ความเจริญ ก็อนุมัติตาม  ถ้าจะดำเนินไปสู่ความเสือม  ก็คัดค้านไว้  ดังนั้นประเทศชาติของเราจึงจะเจริญงอกงามไพบูลย์ไปด้วยทรัพย์สมบัติดังที่เห็นกันอยู่นี้  ได้อาศัยคณะรัฐบาลมีท่านนายกรัฐมนตรี เป็นต้น  ได้แนะนำให้ทำสวนครัวอบรมประชาชนให้มีศีลธรรม และวัฒนธรรม  ให้มีความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  โอบอ้อมอารีมีความสามัคคีไม่เบียดเบียนซึงกันและกัน  สนับสนุนการอาชีพให้เป็นล่ำเป็นสัน จะเห็นได้ว่าชาติไทยเรา  จะเป็นอารยชาติได้  ก็อาศัยรัฐบาล มีสภา ๒ สภา  สภาสูงเปรียบด้วยความเฉลียวฉลาด  จึงสามารถนำประเทศชาติของเราให้ปราศจากภยันตราย สมบรูณ์พูนผลด้วยประการทั้งปวง


คติท้ายภาษิต 
 คนดีมีน้อย      คนถ่อยมีมาก
                                                          คนชั่วหายาก  คนดีทั้งน้ัน

พระคาถา
สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ        ยทา  ปญฺญาย ปสฺสติ
                                       อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข              เอส  มคฺโค วิสุทธิยา
                                           (สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง   เมื่อมีปัญญาแลเห็นชัด
                                             ว่านิพพานสิ้นทุกข์        จงเดินทางบริสุทธิ์)  

     เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า  สังขารธรรม ที่ปัจจัยปรุงแต่งทั้งปวงไม่เที่ยงดังนี้  เมื่อน้ันบุคคลก็เบือ่หน่ายในทุกข์  คือ ความบริหารขันธ์ของร่างกาย  อันนี้เป็นมรรคแห่งความบริสุทธิ์ คือ จะให้จิตพ้นไปจากอาสวะทั้งหลาย   
     เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์อันสุัตว์ทนได้ยากฉะนี้  เมื่อน้ันบุคคลย่อมเหนื่อยหน่ายในทุกข์  คือ บริหารทำนุบำรุงรักษาเบญจขันธ์  อันนี้เป็นมรรคาแห่งความบริสุทธิ์
     เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า  ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา  ดังนี้  เมื่อบุคคลน้ันย่อมเหนื่อยหน่ายในทุกข์  คือ ความบริหารทำนุบำรุงเบญจขันธ์ อันนี้เป็นมรรคาแห่งความบริสุทธิ์วิปัสสนาญาณพิจารณาสังขารโดยเป็นธรรม ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อนัตตาแล้ว  เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย  เป็นมรรคอุบายแห่งนิพพานด้วยประการฉะนี้ 
     พระคาถาบทนี้  หลวงพ่อท่านชอบดู ชอบอ่าน  และชอบปฎิบัติเป็นประจำ
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๓๕ พระธรรมเทศนา ในวารดิถึสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๐๒


พระธรรมเทศนา 
ในวาระดิดีสิ้นปี  พ.ศ. ๒๕๐๒ ต้อนรับปี พ.ศ.๒๕๐๓
ของ พระธรรมวาทีคณาาจารย์ (หลวงพ่อเงิน)  
วัดดอนยายหอม  


     อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฒาปจายิโน จตฺตาโร
     ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลนฺติ ฯ

     ณ บัดนี้  อาตมาขออนุโมทนาแด่พุทธศาสนิกชนด้วยพระพุทธจตุรพร  ๔ ประการ  คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ  นี้จงมีแก่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้ใคร่ต่อการฟังธรรม   การฟังธรรมน้ันถือว่าเป็นบุญจริยา  เพราะการฟังธรรมเป็นทางให้เกิดปัญญา  ความคิดเห็นลึกซึ้ง  ได้ความแยบคายอย่างดีในเหตุผล  สามารถทำตนมห้เปลี่ยนอัธยาศัยใจคอที่หยาบให้ประณีตขึ้น   ตลอดจนทำใจให้บริสุทธิ์สะอาด  ปราศจากอุปกิเลส  อุปกิเลสจะเบาบางลงได้ก็เพราะอาศัยการฟังธรรม  ฉนั้น ท่านพุทธศาสนิกชนจึงใคร่ในการฟังธรรมเนื่องในวาระดิถึส่งท้ายปีเก่า ๒๕๐๒  และอวยพรต้อนรับปีใหม่  พระพุทธศักราช ๒๕๐๓  ในโอกาสทีปีเก่าจะสิ้นไป และปีใหม่จะมาถึงนี้  จึงมีประเพณีกล่าวคำขวัญ  คำอวยพร  ความสุข ความเจริญให้แก่กัน  ตามความปรารถนาของตน   แต่เพราะเหตุที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนามาแต่โบราณกาล   จึงเติมคำว่า ศีล ซึ่งเป็นบัญญัติทางพระพุทธศาสนาเข้าด้วย   จึงได้กล่าวรวมกันว่า   ให้ศึลให้พร   เพราะพระในพระพุทธศาสนา ทั้งผู้ให้ก็ต้ังใจให้ด้วยความเมตตาปรานีหวังดีต่อกัน  ฉนั้น ให้ศีลให้พรเป็นการประกาศความหวังอันดีมีอยู่ในใจ  โดยปรารถนาให้ผู้รับมีความสุขความเจริญ   ตามปกติทุกคนก็ปรารุถนาความสุขความเจริญแก่ตนอยู่แล้ว  ด้วยเหตุนี้  การให้ศีลให้พรจึงเป็นที่ต้องการแลเสพอัธยาศัยของทุกคน  ต่างก็ตั้งใจทำความดีเพื่อให้สมความปรารถนา  เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุข  ความเจริญ กาลเวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนไป  วัตถุต่างๆ ก็ย่อมเจริญขึ้นเป็นลำดับ  แม้มหรสพก็เจริญก้าวหน้าตามกันไป  ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุ  คนเราทุกวันนี้ก็หนักไปในท่างด้านวัตถุนิยม  ส่วนด้านจิตใจน้ันดูไม่ใคร่จะปรับปรุงให้หันเข้าหาพระพุทธศาสนา  ดูจะห่างไกลออกไปทุกที  และหันหลังให้พระพุทธศาสนายยิ่งขึ้น  เพราะแรงดันวิวัฒนาการด้านวัตถุนิยม  คนเป็นจำนวนมากมักพูดกันว่า ศีลธรรมและศาสนาเสื่อม  แต่ประชาชนและเยาวชนต่างหากมีจิตใจเสื่อมจากศีลธรรม
      เมื่อกาลออกจากปีเก่า  ซึ่งเป็นเครืองเตือนใจแก่พี่น้องชาวพุทธท้ังหลายให้รู้ว่า   กาลเวลาได้ผ่านไปมิได้ล่วงไปเปล่า   ย่อมนำชีวิตของเราไปด้วย  ท่านได้ทำอะไรเป็นความดีของท่านไว้บ้าง   หากท่านยังไม่ได้ทำความดีก็จงรีบทำเสีย   เพราะความแก่ เจ็บ ตาย  ก็ย่อมขับต้อนอายุของสรรพสัตว์ไปฉนั้น  เมื่อความจริงมีอยู่เช่นนี้  ทั่านทั้งหลาย จงอย่าได้ประมาท  จงพยายามสร้างความดีทั้งแก่ตนและส่วนรวม  ในที่สุดของชีวิต ต่างคนก็ต้องจากโลกนี้ไป   ไม่มีใครที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ตลอดไป  เพราะจะต้องแตกสลายด้วยกันทั้งน้ัน  มีอยู่อย่างเดี่ยวเท่าน้้น  ที่จะดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ชั่วฟ้าดินสลาย  สิ่งน้ันคือความดีความงามที่เราได้กระทำไว้ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่  ดังน้ัน ตัวเราจะเป็นอะไรก็ตามทีเถิด  ขอให้เราได้สร้างความดีความงามประดับไว้ในโลกนี้บ้างไม่มากก็น้อย  ก่อนจะอำลาชีวิตจากโลกนี้ไป  
     เมื่อท่านท้ังหลายออกจากปีเก่าแล้ว  จงออกจากความชั่วร้ายที่เกิดจากกาย วาจา ใจ คือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน  หากออกจากปีเก่าโดยไม่ละความชั่วออกจากตัวของท่านบ้าง  การออกนั้นก็ไม่มีความสำคัญ  หรือไม่มีความหมายอะไรเลย   หรือมิฉนั้น  เราจะต้องออกๆเข้าๆ  ปีเก่าปีใหม่กันไม่รู้จบจักสิ้นสุด  ควรจะทำวันออกจากปีเก่าอย่างพระภิกษุสงฆ์ทำปวารณาออกพรรษาบ้าง   พระภิกษุสงฆ์เมื่อจำพรรษครบไตรมาสแล้ว  ก็ปวารณาออกพรรษา  การปวารณาออกพรรษาก็คือ  การมอบตัวของท่านให้แก่ภิกษุสงฆ์ช่วยว่ากล่าวตักเตือนห้ามปรามในความประพฤติซึ่งอาจพลั้งเผลอบกพร่องของกันและกัน  เป็นการป้องกันและทำลายความชั่วร้ายทุจริตต่างๆ ที่จะเกิดมีขึ้น  นี่เป็นการปวารณาของภิกษุสงฆ์  ส่วนฆราวาสผู้ครองเรือนเมื่อออกจากปีเก่า  ก็ควรทำปวารณาให้แก่กันและกันบ้างก็จะดีเหมือนกัน  เป็นการมอบตัวหรือการยอมรับฟังคำตักเตือนของกันและกัน  เรื่องที่จะเกิดเรื่องกระทบกระเทือนผิดฟ้องหมองใจทะเลาะวิวาทกัน  ก็จะไม่เกิดขึ้่น  ที่ไม่เป็นดังนั้นก็เพราะไมฟังคำตักเตือนซึ่งกันและกัน  จึงไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้  จึงเลยกลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โต  เช่น สามีกับภรรยา บุตรธิดากับบิดามารดา   เพื่อนบ้านกับเพื่อนบ้าน  อาจารย์กับศิษย์  นายจ้างกับลูกจ้าง  ข้าราชการผู้น้อยกับข้าราชการผู้ใหญ่

     การอยู่รวมหรือทำงานร่วมกันย่อมจะมีความบกพร่องล่วงเกิน ผิดพลาด เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา  เพราะเรายังเป็นปุถุชน  ยังหนาไปด้วยกิเลสเมื่อฝ่ายใดบกพร่องผิดพลาดก็ควรตักเตือนให้สติ  แนะนำกันโดยดี และให้อภัยซึ่งกันและกัน  ซึ่งเรียกว่า  อภัยทาน   เมื่อให้อภัยทานแล้วก็ควรทำปวรณาอีก  เพื่อหวังความสงบสุขซึ่งกันและกัน  ผู้ถูกตักเตือนก็ยอมรับฟังตามเหตุผล  สังคมที่ได้รับความเดือดร้อนวุ่นวายทุกวันนี้ ก็เพราะขาดการให้อภัยทานและขาดการปวารฯากัน   เมื่อออกจากปีเก่าแล้ว   จงทำปวารณากันเถิดพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย   การรู้จักระงับความฉุนเฉียวโหดร้าย  รู้จักผ่อนปรนให้อภัยกัน  เรียกว่า อภัยทาน  อภัยทานนั้นย่ิ่งให้มากเท่าไรก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น  เพราะทำให้ความโลภความโกรธ ความหลงเบาบางลง เป็นเหตุให้จิตใจสงบระงับไม่ฟุ้งซ่าน  พล่านไปในอารมณ์ต่างๆ  เมื่อเข้าปีใหม่ก็จงพยายามน้อมนำพระธรรมเข้ามาใส่ตัวของท่านไว้บ้าง  เรียกว่า โอปนะยิโก  คือ น้อมธรรมเข้ามาสู่ตน  เป็นต้นว่า  ฆราวาสธรรม  ซึ่งเป็นธรรมเหมาะสำหรับฆราวาสผู้ครองเรือน  มีอยู่  ๔ ข้อ คือ ๑. สัจจะ ความซื่อตรง  ๒. ทมะ ความข่มใจ ๓. ขันติ ความอดทน  ๔. จาคะ ความเสียสละ  คุณธรรมทั้ง  ๔ประการนี้ มีอยู่ในบุคคลใด  ครอบครัวใด หมู่คณะใด  ย่อมมีแต่ความสุขความเจริญ ฝ่ายเดียว  ผู้ที่ได้ทำความดีในปีเก่าก็ควรพยายามทำความดีในปีต่อๆไป  เพราะการประพฤติปฎิบัตธรรมนั้น เป็นอกาลิโก  ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา  จะเป็นปีเก่าปีใหม่ ปฎิบัติได้ทั้งน้ัน  ผู้ที่กำลังเดินทางผิดจากศึลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จงกลับตัวกลับใจเสียเถิด  ดังพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า   สูทั้งหลายจงยินดีในความไม่ประมาท  จงตามคุ้มครองรักษาดวงจิต  รีบถอนตนออกจากหล่มคือกิเลส  เหมือนช้างที่ตกหล่มรีบถอนตนออกจากหล่ม   เมือประพฤติได้ดังนี้  ชีวิตของคนจักมีผลไม่เป็นหมัน  เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่า  คือ ชีวิตย่อมประกอบด้วยประโยชน์ที่เป็นธรรม  ถ้าไม่ประกอบด้วยประโยชน์ที่เป็นธรรม  ชีวิตก็ไร้ค่า  ไม่สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์  ดังนั้นชีวิตของคนฉลาดจึงไม่ไร้ค่า  เพราะคนฉลาดมีธรรมอยู่ในใจ  แต่คนโง่มีชีวิตฟูขึ้นฟุบลงตามโลกธรรม  และดึงร้ันไปตามทิฎฐิ  คนเช่นนี้จะทำอะไรมักจะคำนึงถึงโลกเป็นใหญ่  และหมุนไปตามโลกธรรม ๘  คือ มีลาภไม่มีลาภ มียศไม่มียศ สรรเสริญ นินทา  สุข ทุกข์  ความเป็นไปของชีวิตทีประกอบด้วยธรรมเช่นนี้  แสดงให้เห็นว่าไม่มีหลักธรรมเป็นเครืองพยุงใจ  ทำอะไรก็สักแต่วาทำ  เป็นการกระทำของทารก  เพราะการกระทำด้วยอารมณ์ที่ชอบใจ  ที่น่าปรารถนาของตน  ชีวิตที่ทำด้วยควาดึงดัน  ของทิฎฐิมีความเห็นตนเป็นใหญ่  จะทำอะไรก็ทำเพื่อตน  ไม่เลือกว่าดีว่าชั่ว   ถูกหรือผิด  ปราศจากหลักธรรมของใจ กลายเป็นคนรกโลก
     ส่วนคนฉลาดจะทำอะไรมีธรรมเป็นใหญ่  เป็นลักษณะของชีวิตที่มีประโยชน์  ทั้งแก่ตนและผู้อื่น  การทีทุกสิ่งที่เป็นไปด้วยธรรมมย่อมปราศจากเบียดเบียนตนและผู้อื่น  ชีวิตของผู้ประกอบด้วยธรรมเช่่นนี้  ย่อมมีความเข้มแข็งเกิดขึ่้นในตน เป็นคนไม่หวั่นไหวไปตามทิฎฐิของตน  ชีวิตเช่นนี้ได้ชื่อว่าชีวิตที่เป็นไปตามธรรม  เพราะธรรมคือเหตุและผล  คนประกอบด้วยธรรมดังกล่าวมานี้ ย่อมมีแต่ความสุขทั้งตนและผู้อื่นด้วย  ส่วนบุคคลที่ไม่อาจหาความสุขกายสบายใจได้  ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแล้วน้ัน ก็เป็นเพราะตนของตนได้ประพฤติปฎิบัติไปในทางนอกธรรม นอกวินัยที่พระบรมศาสดาทรงสั่งสอนไว้เป็นหลักปฎิบัติ  เช่นไปประพฤติทุจริตมิจฉาชีพ  เป็นต้น   จึงได้รับแต่ความเดือดร้อน
     ส่วนผูัมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็ประพฤติดีประพฤติชอบมีความเพียรชอบ  ประกอบกสิกรรมพานิชกรรมเป็นสัมมาอาชีวะด้วยความราบรื่น  บางท่านก็ปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งราชการ ด้วยความขยันขันแข็งซื่อสัตย์สุจริติ  มุ่งความสุขความเจริญแก่ตนและชาติในฐานะที่เป็นชาวพุทธ  ก็ประพฤติปฎิบัติธรรม เป็นต้นว่า บริจาคทาน รักษาศีล  เจริญเมตตาภาวนาตามความสามารถของตน  ดังนั้นจึงได้รับแต่ความสุขสงบทางกายและใจเป็นผลสนอง  ไม่หลงงงงายไปในทางประพฤติผิด  ดำเนินชีวิตแต่ในทางที่ถูกที่ควร  สำรวมสังวรระวังตั้งอยู่ในปหานะปธาน  เพียรละความชั่วร้ายเก่าๆ ให้เบาบางจากสันดาน  ไม่ประพฤติลามกให้ความชั่วรั่วไหลเข้ารดตน   ระวังปิดช่องแห่งหายนะไม่ให้เข้ามาสู่ตนอันเป็นผลเผ็ดร้อน ทุกข์โทษก็จะไม่เกิดขึ้น  เหตุดังนั้นท่านจึงสอนให้พยายามปิดประตูคือทวารทั้ง ๙ อันเป็นทางทีจะนำอกุศลไหลเข้ามาท่วมทับจิตใจ  ดังนี้จึงได้ชื่อว่าป้องกันอันตรายภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวน  และยังจะต้องกำจัดอันตรายภายในคือพยายามระวังความโลภ โกรธ หลงให้เบาบางลงด้วยสังวรปธาน  เมื่อเพียรระวังบาปลามก ๒ ประการให้เบาบางลงแล้ว  นับว่าความสงบสุข จะบังเกิดขึ้นตามสมควร 
  เมื่อละความชั่วคือบาปเก่าได้แล้ว  ก็บำเพ็ญกุศลใหม่ให้บังเกิดขึ้น  เมื่อกุศลใหม่เกิดขึ้นแล้วก็เพียรรักษาเรียกว่า  อนุรักขนาปธาน  เพียรรักษาบุญกุศลที่เกิดแล้วอย่าให้เสื่อม  ดุจเกลือรักษาความเค็มของเกลือไว้ฉนั้น  เมื่อประพฤติได้ดังนี้ ก็จะมีแต่ความสุขอันแท้จริง

     ส่วนผู้ที่ยังติดอยู่ในโลกธรรม หลงถือว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รูป  เสียง กลิ่น รส สัมผัส เหล่านี้ที่จะบันดาลความสุขมาสู่ตนเป็นของแท้จริง  ส่วนทางพระพุทธศาสนาสอนว่า  ลาภ ยศ ดังกล่าวแล้วเป็นสุขเทียม เพราะยังมีทุกข์เจือปน   คือ เมื่อหาก็เป็นทุกข์  ได้มารักษาไว้ก็เป็นทุกข์  เมื่อจากไปก็เป็นทุกข์ พระท่านเรียกสุขชนิดนี้ว่า สามิสสุข  สุขยังอามิส  คือสิ่งของ สุขที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งของเป็นสุขในตัวเอง  พระท่านเรียกสุขชนิดนี้ว่า  นิรามิสสุข   สุขที่ไม่ต้องอิงอามิส  สุขที่เกิดจากอามิสคือสิ่งที่ล่อใจ เช่น มีทรัพย์สมบัติมาก มียศศักดิ์ สรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่น่ารักน่ายินดี  ก็ล่อใจให้เห็นว่าเป็นสุข  แต่ว่าสิ่งท้ังหลายเป็นของไม่แน่นอน  ไม่เที่ยงไม่คงที่อยู่ตามเดิม  เมื่อถึงคราวก็ย่อมวิบัติแปรปรวนไป เช่น  ทรัพย์สมบัติหมดไป  ยศศักดิ์เสื่อมไป  ถูกนินทา รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส  เปลี่ยนแปลงไปก็กลับเป็นทุกข์ขึ้่น  สุขอิงอามิสแม้จะเป็นสุขก็เป็นสุขไม่เท้  เป็นสุขเทียม  ความจริงก็คือ ความทุกข์นั่นเอง   ผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญาหลงถือว่าเป็นสุข  ก็เสาะแสวงหาโดยไม่คำนึงถึีงทุกข์โทษเห็นแต่ประโยชน์ที่จะได้รับด้วยความมืดมน  เพราะขาดการเล่าเรียนศึกษาการอ่านการฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     ด้วยพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นดวงประทีปสำหรับส่องโลกให้สว่าง ด้วยโลกคือหมู่สัตว์ย่อมมีมืดมนอนธกาลด้วยอำนาจอวิชชา  โมหะเข้าครอบงำ ทำให้ปัญญาทุพพลภาพ  มุ่งแต่ลาภยศ สรรเสริญและความสุข  เพราะเมาในวัยว่าตนยังหนุ่มสาว  เมาในกายว่าไม่มีโรค  เมาในชีวิตไม่คิดถึงความตาย  แสวงหาแต่วัตถุที่จะเอาติดตนไปไม่ได้   ข้อนี้ไซร้  เนื่องมาแต่การขาดการฟังธรรม  อันเป็นโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ฉนั้น  ท่านพุทธศาสนิกชนมาเห็นโทษของการขาดการฟังธรรม จึงไม่ประมาทในการฟังธรรมเทศนา  เพื่อจะให้หายหลงหายเมาดังกล่าวแล้วก็เพราะอาศัยได้สดับฟังธรรมเทศนา จึงได้มีศรัทธาในการฟังและประพฤติปฎิบัติธรรม ดังท่านพุทธศาสนิกชนได้สดับอยู่  ณ บัดนี้  เพื่อหวังจะให้เกิดศรัทธาสติปัญญาอันแก่กล้า พิจารณาเหตุผลแห่งธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ว่าเป็นอปันนะกะปฎิปทา  คือยังผู้ปฎิับัตให้ดำเนินไปในทางที่ถูกไม่ผิดพลาด  เป็นนิยยานิกธรรม คือ สามารถนำูผู้ปฎิบัติออกจากทุกข์ได้จริง  เป็นอุปสมิกธรรม  คือ นำไปสู่ความสงบระงับให้ถึงความดับสนิทไม่เร่าร้อนด้วยเพลิงกิเลสและกองทุกข์ นำไปสู่ความสุขนิราศภัย  ก็เพราะอาศัยไม่ทำชั่ว  ทำแต่สุจริต  รักษาจิตให้ผ่องใส เป็นทางไปพระนิพพาน  ในอวสานที่สุดแห่งพระธรรมเทศนา  ในวาระดิถึปีเก่ารับปีใหม่  พุ่ทธศักราช ๒๕๐๓  ขอท่านพุทธศานิกชนผู้มีจิตเป็นกุศลทั้งหลาย  จงเจริญด้วยจตุรพร  ๔ ประการ  คือ  อายุ  วรรณะ สุขะ พละ นี้จงมีแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน อายุของให้ท่านมีอายุมั่นยืนยาว  วรรณะขอให้มีสสันวรรณะผุดผ่องทั่วสรีระกาย ดูเป็นที่เจริญตาเจริญใจแก่ผู้ที่ได้ทัศนาการเห็น  สุขะ จงตั้งอยู่ในความสุขกายสุขใจ  พละ ขอให้ท่านมีกำลังกายกำลังปัญญาอันเข้มแข็ง   สำหรับจะได้ต่อต้านกับกิจการงานทัพพะสัมภาระทั้งปวงให้ลุล่วงสัมฤทธิ์ผล  ทั้งทางโลกและทางธรรม สมดังความปรารถนาทั่้วกันทุกท่านเทอญ  ซึงมีนัยตังรับประทานวิสัชนามาด้วยประการฉะนี้