วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่๑๗ อภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อเงิน

๑๗. อภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อเงิน
นายชื่น ทักษิณานุกูล
     ลูกศิษย์และลูกบุญธรรมของหลวงพ่อเงินคนนี้  เขาเล่าว่า  คราวหนึ่งเขาล่องแพไปตามลำแม่น้ำน้อยที่แควใหญ่เมืองกาญจน์  เกิดอุบัติเหตุแพแตกถูกน้ำซัดไปหมดสติ  เขามีพระเครื่องหลวงพ่อเงินแขวนคออยู่  เขาก็นึกถีงหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”  แล้วก็หมดสติไป  มารู้สึกตัวว่ามานอนอยู่บนตลิ่ง  ริมชายหาด  เขาจึงรอดตัวมาได้อย่างอัศจรรย์ที่สุด
     เมื่อเขากลับมาหาหลวงพ่อ เขาก็เล่าให้หลวงพ่อฟัง   ถึงวันเวลาที่ตกอยู่ในห้วงอันตรายในชีวิต  หลวงพ่อฟังแล้วก็พูดว่า วันนั้นหลวงพ่อก็นึกถีงนายชื่นเหมือนกัน   เห็นหน้าไวๆ อยู่ในจิตนิมิต  ก็เพ่งกระแสจิตแผ่เมตตาถึงนายชื่น  นายชื่นฟังแล้วก็ขนลุกทั้งตัว
     นอกจากคราวนั้นแล้ว  ต่อมาทุกครั้งที่คับขันอับจน เขาก็จะนึกถึงหลวงพ่อ  ขอให้หลวงพ่อช่วย หลวงพ่อจึงเป็นสรณะอันแท้จริงในชีวิตของเขา
สมเด็จป๋า วัดโพธิ์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น) วัดพระเชตุพน สมัยยังเป็นพระธรรมวโรดม ได้เล่าให้ น..แอ๊ด กลกิจ คหบดีจังหวัดนครปฐมฟัง เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503 ว่า ท่านได้ไปในงานทำบุญครบ 5 รอบ 60 ปี ของหลวงพ่อเงิน เมื่อปี พ.. 2493 ทางวัดได้ถวายพระเครื่องหลวงพ่อเงินให้องค์หนึ่ง เป็น พระผงสีดำ ท่านก็รับไว้ ครั้นเมื่อกลับไปถึงวัดก็ล้วงย่ามจะเอาพระที่ได้จากวัดดอนยายหอมไปไว้ที่โต๊ะบูชา แต่ค้นหาเท่าไรก็ไม่พบ แต่เอาของอื่น ออกหมดย่าม จนลงมือเอาย่ามสะบัดก็ไม่มี ก็เลยปลงใจว่าคงหายเสียแล้ว
ครั้นอยู่ต่อมาท่านล้วงย่ามอีก ใจก็นึกถึงพระเครื่องหลวงพ่อเงินที่หายไป ว่ามันหายไปได้ยังไง แต่คราวนี้เหมือน ปาฏิหาริย์ พระหลวงพ่อเงินติดมือขึ้นมาจากย่ามได้ ท่านก็เลยนึกในใจว่า พระหลวงพ่อเงินคงอยากอยู่ในย่าม จึงได้ใส่ในย่ามไว้ตามเดิม
ในงานวัดใหม่ประตูน้ำราชบุรี ในระหว่างที่กำลังสวดมนต์อยู่ ได้ยินพระภิกษุรูปหนึ่งสวดมนต์เสียงดัง ชัดเจนดีก็ชอบใจ พอสวดเสร็จก็เรียกเข้ามาหา ถวายย่ามให้เป็นรางวัลแก่พระรูปนั้นไป
ครั้นแยกกันไปแล้ว ก็นึกได้ว่า พระเครื่องหลวงพ่อเงินองค์นั้นติดย่ามไปด้วย ก็รู้สึกเสียดาย เพระเป็นพระที่มีอภินิหารชอบกลอยู่ จึงเที่ยวตามหาพระภิกษุรูปนั้นก็ไม่พบ ถามใครก็ไม่มีใครรู้จักว่าอยู่วัดไหน จึงรู้สึกเสียดายมาก
พอตกกลางคืน ขณะที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่กับแขกเหรื่อในปะรำโรงพิธี ท่ามกลางแสงไฟที่สว่างไสวนั่นเอง มีวัตถุชิ้นหนึ่งบินมาตกแป๊ะลงที่หัวเข่า จึงตกใจนึกว่าเป็นจิ้งจก หรือแมงเหนี่ยง จึงสะบัดตกลงไปที่พื้น แต่ครั้นก้มลงมองดูว่าเป็นอะไร ก็ปรากฏว่าเป็นพระเครื่องผงสีดำของหลวงพ่อเงินที่ติดย่ามใบที่ถวายพระเสียงดังองค์นั้นไปเมื่อตอนหัวค่ำนั้นเอง
สมเด็จป๋า ได้ประจักษ์อภินิหารด้วยตนเองดังนี้ จึงเชื่อถือพระเครื่องหลวงพ่อเงินแต่นั้นมา ภายหลังเมื่อสมเด็จป๋าสร้างพระเครื่อง "สมเด็จแสน" แจกบ้าง จึงได้นิมนต์หลวงพ่อเงินไปปลุกเสกด้วย
พระสมเด็จแสน ของสมเด็จป๋าวัดโพธินี้ ข้าพเจ้าได้รับแจกจากท่านองค์หนึ่ง เป็นพระเครื่องสามเหลี่ยม แบบพระนางพญาพิษณุโลก ที่เรียกสมเด็จแสน เพราะสร้าง 100,000 องค์ เป็นพระที่มีปาฏิหาริย์เหมือนกัน คนที่เป็นลูกศิษย์สมเด็จป๋า เลื่อมใสกันทุกคน สมเด็จป๋า เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
นายสุรินทร์ นาทวรทัต
เมื่อ พ.. 2504 มีเรื่องเศร้าและสยดสยองเกิดขึ้นที่จังหวัดนครปฐม โดยรถยนต์โดยสารคันหนึ่งแล่นตัดหน้ารถไฟ ที่ทางแยกถนนมาลัยแมน จะไปอำเภอกำแพงแสน มีรถไฟขบวนหนึ่งแล่นจากทางใต้จะเข้ากรุงเทพฯ คนที่นั่งในรถยนต์ตะโกนว่า "รถไฟมา ๆ" แต่เด็กกระเป๋าท้ายตะโกนบอกคนขับว่า "ไป - พ้น" คนในรถยนต์คนหนึ่งตะโกนว่า "ไม่พ้นๆ" คนขับจะลังเลใจหรือไม่เห็นรถไฟ จึงขับรถยนต์แล่นตัดหน้ารถไฟ จึงถูกรถไฟชนตูมเข้า เสียงดังสนั่นหวั่นไหวคนโดยสารตายทันทีหลายคน บาดเจ็บ อีกหลายคน แต่คนที่ร้องตะโกนว่า ไม่พ้น ๆ นั้น บาดเจ็บสาหัส ส่งโรงพยาบาลแล้วก็ยังร้องว่า "ไม่พ้น ๆ ๆ" จนกระทั่งขาดใจ
คนที่โดยสารรถยนต์คันนั้น มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อคุณสุรินทร์ นาทวรทัต ปลัดอำเภอเมืองนครปฐม นั่งรถคันนั้นจะไปทัพหลวง เขานั่งอยู่ด้านซ้ายที่รถไฟชนพอดี แต่ไม่ทราบเป็นอย่างไร จึงกระเด็นออกนอกรถยนต์มานอนอยู่ที่พื้นดิน ห่างจากรถยนต์คันนั้นมาก พอได้สติก็ลุกขึ้นตรวจดูร่างกายว่าบาดเจ็บที่ไหนบ้าง ก็ไม่ปรากฏว่าบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่คนที่นั่งเคียงข้างเขาตายทั้งคู่ เขาจึงเดินทางกลับบ้าน เล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟัง พ่อของเขาคือ นายหิรัญ นาทวรทัต ผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม ทุกคนก็ลงความเห็นว่า ที่เขาปลอดภัยเพราะมีเหรียญหลวงพ่อเงินคล้องคออยู่
รุ่งเช้า นายสุรินทร์ นาทวรทัต ก็ไปหาหลวงพ่อที่วัดดอนยายหอม กราบนมัสการแล้วเล่าให้หลวงพ่อฟัง แล้วขอให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์เรียกขวัญที่หนีดีฝ่อไปกลับคืนมา
หลวงพ่อก็รดน้ำมนต์ให้ตามความประสงค์ ก่อนกลับหลวงพ่อได้พูดกับเขาว่า
"คนที่นับถือพระนั้น บางทีคุณพระก็คุ้มครองได้จริง ๆ "
นายสุรินทร์ นาทวรทัต เป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัยร่วมโรงเรียนกับ นายชื่น ทักษิณานุกูล และข้าพเจ้าผู้เขียนเรื่องนี้ บิดาของเขาเป็นเจ้านายเก่าของผู้เขียน คือนายหิรัญ นาทวรทัต อาของเขาคือ ครูไชย นาทวรทัต เป็นครูของผู้เขียน.
หญิงชราถูกปล้น
หญิงชราชาวลาวโซ่งคนหนึ่ง ได้มาหาหลวงพ่อเล่าว่า นางเคยเป็นชาวจังหวัดนครปฐม ได้อพยพไปทำมาหากินอยู่ที่จังหวัดพิจิตร เมื่อนางจะเดินทางไปอยู่จังหวัดพิจิตรนั้น ได้เคยมาหาหลวงพ่อขอพระเครื่องไปคุ้มครององค์หนึ่ง นางก็เก็บติดตัวเสมอ ก่อนนอนก็สวดมนต์ระลึกถึงหลวงพ่ออยู่เสมอไม่ขาด คราวหนึ่งถูกโจรปล้นบ้าน นางหนีไม่พ้น แต่มีสติดีระลึกถึงหลวงพ่อ แล้วก้มหน้าลงกราบหลวงพ่อ มือกำพระเครื่องหลวงพ่อไว้แน่น ฟุบหน้าลงกับพื้น นึกเหมือนว่านั่งหมอบกราบหลวงพ่ออยู่ตรงหน้ากุฏิหลวงพ่อ หลับตามองเห็นหลวงพ่อนั่งเคี้ยวหมากอยู่ตรงหน้า ฝ่ายพวกโจรก็ค้นบ้านโครมครามอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ของมีค่าอะไรก็เตรียมกลับไป ได้ยินเสียงมันบ่นว่า
"นี่เจ้าของบ้านมันไปไหนหมด ?"
แล้วมันก็ลงเรือนเงียบหายไป
น่าประหลาดก็คือ วันรุ่งขึ้น มันกลับมาเอาเชี่ยนหมากที่มันถือติดมือไป เอามาโยนทิ้งคืนไว้ที่หน้าบ้านด้วย
หลวงพ่อฟังหญิงชราคนนั้นเล่าจบแล้ว ก็ตอบว่า
"ศรัทธา ความยึดมั่นถือมั่น โดยระลึกถึงคุณพระด้วยความเชื่อมั่น คุณพระจึงบันดาลให้โจรมองไม่เห็นโยม เมื่อมันกลับไปเห็นว่าในเชี่ยนหมากไม่มีเงินทอง มันก็เลยเอามาคืนให้..."
หลวงพ่อเงินเล่า
เรื่องทั้งหมดที่เล่าประกอบเรื่องพระเครื่องของหลวงพ่อเงินนั้น เป็นเรื่องของคนอื่น ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง จึงขออนุญาตออกชื่อไว้ให้ปรากฏเป็นหลักฐาน สำหรับผู้สนใจ จะได้ทราบข้อเท็จจริงต่อไป ไม่ใช่เรื่องโฆษณาขายพระเครื่อง หรือโฆษณาชวนเชื่อชื่อเสียงของหลวงพ่อเงิน เพราะบัดนี้หลวงพ่อเงินก็ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ตั้งแต่ พ.. 2519 นับจนถึงปีที่เขียนเรื่องนี้ พ.. 2529 ก็ 10 ปีเต็มแล้ว จึงไม่ได้เขียนเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ตามที่บางท่านอาจจะสงสัย
แต่ผู้เขียนขอเล่าเรื่องที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง คือเมื่อประมาณ ปีพ.. 2516 หลวงพ่อเงินได้รับกิจนิมนต์ไปนั่งเป็นประธานในงานผูกพัทธสีมาวัดลาดเป้ง ผู้เขียนเรื่องนี้ได้นั่งรถยนต์กลับจากจังหวัดนครปฐมกับหลวงพ่อ ในระหว่างนั่งอยู่ในรถยนต์ด้วยกัน ตอนเบาะท้ายรถ หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังในฐานะครูอาจารย์กับลูกศิษย์
หลวงพ่อเล่าว่า คราวหนึ่งได้นั่งแท็กซี่ไปจังหวัดลพบุรี ไปด้วยกัน 2 คัน หลวงพ่อนั่งคันหลัง คนที่ไปด้วยนั่งคันหน้า แล่นไปในระหว่างทางเวลากลางคืน ก็ถูกคนร้ายดักปล้นจี้แท็กซี่ เมื่อไม่ยอมให้เงินมัน มันก็ยิงเอา 2-3 นัด คนที่ถูกยิงก็สลบไป คือตกใจจนสลบไม่ได้สติ หลวงพ่อนั่งไปคันหลังจึงส่งกระแสจิตไปช่วยคุ้มครอง รถคันหน้าแล่นหนีไป มาถึงรถหลวงพ่อ มันไม่ยิง เพราะมันเห็นเป็นพระภิกษุนั่งอยู่ มันก็ไม่ยิง เมื่อพ้นอันตรายแล้ว คนขับก็หยุดดูอาการของคนที่ถูกปล้นแล้วถูกโจรยิง เขาฟื้นสติขึ้นมา ลุกขึ้นลูกปืนก็หลุดออกมาจากรักแร้ ในเสื้อผ้า 3 ลูก แต่ไม่เข้า ไม่มีบาดแผลที่ไหนเลยมีแต่ลูกปืน 3 ลูก
หลวงพ่อเล่าแล้วก็หัวร่อ ผู้เขียนก็ได้แต่นั่งฟัง ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะผู้เขียนเชื่อศีลธรรม คุณธรรมของหลวงพ่อ หลวงพ่อทรงศีลทรงคุณธรรม อยู่เต็มตัว จะคุยเรื่องโกหกหลอกลวงให้ฟังทำไม เพื่อประโยชน์อะไรเล่า ?
แต่เสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อผู้ถูกปล้นผู้ถูกยิงว่าชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ดูเหมือนจะบอกชื่อให้ฟังด้วย แต่ผู้เขียนมัวฉงนเสีย ไม่ได้จดจำไว้ คือเชื่อสนิทใจจนไม่สงสัยถึงแก่จะต้องจดชื่อไว้สอบถามเขาภายหลัง นึกได้ว่าคือ คุณอรุณี สุจริตจิตต์ ภรรยาของคุณวัฒนา สุจริตจิตต์ อดีตนายอำเภอซึ่งเคยเป็นครูของข้าพเจ้า

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๑๖ พระเครื่องของหลวงพ่อเงิน



๑๖. พระเครื่องของหลวงพ่อเงิน
             เมื่อพูดถึงพระเครื่อง  ก็มีคนเป็นจำนวนมาก  อยากทราบว่า   หลวงพ่อเงินสร้างพระเครื่องมาแล้วกี่รุ่น  รุ่นไหนมีลักษณะอย่างไร  เมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่  หลวงพ่อก็ไม่อยากให้ใครเขียน  จะเป็นการโฆษณาขายพระเครื่องไป  เมื่อหลวงพ่อเงินมรณภาพข้าพเจ้าได้นำรายละเอียดทั้งประวัติการสร้างพระเครื่องแต่ละรุ่น และรูปแบบมาเขียนไว้ในหนังสือ  “พระราชธรรมาภรณ์(หลวงพ่อเงิน) วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม”   แต่มิได้นำมาเผยแพร่ในบล๊อกหนังสือนี้  ด้วยจุดประสงค์ในการเขียนเพื่ออุทิศถวายแด่พระราชธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อเงิน) ผู้เป็นพระอุปัชฌาชย์ ด้วยความเคารพบูชาในเมตตาและศรัทธาเชื่อมั่นในพุทธานุภาพของหลวงพ่อเงิน ผู้เป็นพระอุปัชฌาชย์     

           หนังสือ “พระราชธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อเงิน ) วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม”  นี้ ได้มอบให้หอสมุดแห่งชาติ  ผู้สนใจศึกษารายละเอียดนี้   ขอให้หาอ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติ  ท่าวาสุกรี กรุงเทพ 



"เขียนเสร็จแล้วก็ทิ้งไว้นาน ไม่กล้าพิมพ์เผยแพร่ กลัวจะขาดทุนเปล่า  เพราะมีคนคัดลอกเอาไปเขียนกันหลายหนหลายคร้ัง   จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ ฝันเห็นหลวงพ่อเงินยืนอยู่บนภูเขา  ข้าพเจ้ากำลังเดินขึ้นไปหาท่าน  แต่ไม่กล้าขึ้นไปถึงท่าน  กลัวตกภูเขา  ดูเหมือนจะเป็นปริศนาธรรมที่ท่านมาเตือนให้พิมพ์เรื่องนี้ออกเผยแพร่ เมื่อรู้สึกว่าเป็นหนี้ที่ยังมิได้ชดใช้ท่าน  จึงได้พิมพ์เรื่องนี้เผยแพร่ในคร้ังนี้ " 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)   

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๑๕ สอนเสือผาด ทับสายทอง

๑๕. สอนเสือผาด  ทับสายทอง 
ออกชื่อว่า   เสือผาด ทับสายทอง แล้ว  คนในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างพ.ศ. ๒๔๘๔  ถึง พ.ศ. ๒๔๙๐  ย่อมจะรู้จักกันดี
บางคนเรียกชื่อเขาว่า "ขุนโจร 7 จังหวัด" เพราะเขามีชื่ออยู่แถวจังหวัด นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และจังหวัดธนบุรี ทั้ง 7 จังหวัดนี้ เป็นแดนปล้น เป็นแดนอิทธิพลของเขาโดยตลอด อย่างน้อยเสือเล็ก เสือน้อย ที่เรียกว่าเสือปลา ไม่ใช่เสือโคร่งลายพาดกลอน ก็อ้างชื่อเสียงของเขาออกหากินด้วย
ส่วนใหญ่ จะไม่กล้าออกชื่อเขา มักจะออกชื่อกันว่า "คุณพระ" คำว่า "คุณพระ" เป็นชื่อที่ชาวนครปฐมทั่วไปเรียกขื่อเขาลับหลัง เป็นที่รู้กันว่า หมายถึง เสือผาด ทับสายทอง คนกลัวเขาขนาดไม่เรียกออกชื่อเขาทีเดียว เพราะไม่รู้ว่าจะถึงหูเสือผาดเข้าเมื่อไร และจะถูกฆ่าตายเมื่อไรก็ไม่รู้ตัว พูดกันถึงขนาดที่ว่า ข้าราชการ ตำรวจ ก็กลัวเสือผาด เป็นลูกน้อง หรือเป็นสายเสือผาดเกือบทุกคน
เสือผาดทำนา เสือผาดเกี่ยวข้าว เพียงแต่บอกกันว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกี่ยวข้าวเสือผาด คนก็จะเดินทางไปช่วยเกี่ยวข้าวกันหัวดำเต็มท้องนา ไม่ต้องไหว้วานกันเลย ทุกคนถือเคียวไปช่วยกันเกี่ยวข้าว นวดข้าวให้เสือผาด
เสือผาดจะมีนาหรือไม่ ไม่สำคัญ เพียงแต่บอกว่านาทุ่งนี้เป็นของเสือผาดเท่านั้นคนก็จะไปช่วยไถ ช่วยเกี่ยวข้าว ช่วยนวดให้จนจบสิ้น โดยไม่มีใครกล้าไปสอบถามอะไรกันอีก ว่าเสือผาดอยู่ที่ไหน เพราะว่าไม่มีใครเคยเห็นตัวเสือผาด ได้ยินแต่ชื่อก็กลัวเสียแล้ว
ขณะนั้น ผู้เขียนรับราชการอยู่ที่อำเภอกำแพงแสน อันเป็นแดนอิทธิพล หรือพื้นที่สีดำของเสือผาด ผู้เขียนรู้เรื่องราวของเสือผาดมากจนกลัวเสือผาดเหมือนกัน
วันหนึ่ง ขี่จักรยานไปอำเภอกับ นายพิณ กันตะเพ็ง ศึกษาธิการอำเภอกำแพงแสน พบคนถูกยิงตายนอนอยู่ระหว่างทาง เป็นชายหนุ่มอายุสัก 19-20 ปี คนก็กระซิบบอกว่า เมื่อคืนนี้เสือผาดพาลูกน้องเดินทางไปปล้น แต่สงสัยความไม่ซื่อสัตย์ของลูกน้อง จึงยิงทิ้งเสียก่อนเข้าปล้น
วันหนึ่งตอนเช้าตรู่ มีคนรายงานกับนายอำเภอ ร...สุข ศรีเพ็ญ ว่า ส...จำเนียร ภักดีเจริญ ถูกยิงตาย ที่ตำบลห้วยขวาง นายอำเภอไปชันสูตรพลิกศพ ข้าพเจ้าก็ไปด้วย พบ ส... จำเนียร นอนตายอยู่ มีปืนพกตกอยู่ข้างตัว เป็นปืนที่ ส... จำเนียร ยิงต่อสู้จนตัวตายในสภาพนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว เพราะไปนอนอยู่บ้านเมียน้อย เขาเล่าว่าผู้ร้ายที่เข้ามายิง ส...จำเนียร ได้เข้าเหยียบหน้าอก ส...จำเนียรแล้วร้องว่า
"อ้ายเนียร มึงรู้จักกูไหม ?"
เขาพูดว่าผู้ร้องถามนั่นคือเสือผาด
แล้วเขาก็ยิง ส... จำเนียร ตายกลิ้งอยู่ในบ้านเมียน้อย ไม่ทำอันตรายใคร ไม่แตะต้องทรัพย์สินอะไรเลย
มูลเหตุของเรื่องก็คือ ฆ่าล้างแค้นของเสือผาด ฆ่าแม้แต่ตำรวจ
เรื่องมีอยู่ว่า นายจำรูญ น้องชาย ส... จำเนียร ลูกชายขุนภักดี ห้วยพระ คหบดีมั่งคั่งในตำบลสามง่าม ถูกโจรปล้น จับตัวไปยิงทิ้งที่ทุ่งนา นายจำรูญตายในลักษณะนุ่งกางเกงในตัวเดียว ส...จำเนียร เห็นน้องชาย ถูกฆ่าตายในลักษณะน่าทุเรศเช่นนั้นก็ประกาศว่า จะต้องตามฆ่าโจรก๊กนี้ให้จงได้ ส...จำเนียร สืบทราบว่าก่อนปล้นโจรคณะนี้ได้มากินเหล้าวางแผนกันที่บ้านคน ๆ หนึ่งในตอนหัวค่ำ ส...จำเนียร จึงให้ระบบแก้แค้น โดยใช้กฎหมายเถื่อน จับชายเจ้าของบ้านไปยิงทิ้งตรงที่ ๆ ที่นายจำรูญ น้องชายนอนตายอยู่ เป็นการล้างแค้น
ต่อมาไม่กี่วัน ส...จำเนียร ก็ถูกฆ่าตายไป ผู้ยิงอก ส...จำเนียร ขึ้นเหยียบอก แล้วร้องถามว่า
"อ้ายเนียร มึงรู้จักกูไหม ?"
ท่านขุนภักดีห้วยพระ (กิ้ว ภักดีเจริญ) เห็นว่าขืนต่อสู้กันต่อไปก็จะตายไปไม่สิ้นสุด เสียลูกชายไป 2 คนแล้ว คนต่อไปไม่รู้ว่าใคร จึงได้ตกลงหย่าศึก พิธีหย่าศึกทำขึ้นที่บ้าน นายนนท์ ตำบลห้วยขวาง ขุนภักดีห้วยพระ นัดพบเสือผาด ทับสายทอง ที่บ้านนายนนท์ซึ่งเป็นคนของเสือผาด กินเหล้าสาบานกันว่าจะเลิกแล้วต่อกัน เรื่องจึงสงบลงได้
นายนนท์ คนนี้ ข้าพเจ้ารู้จัก บิดามารดาของข้าพเจ้าก็รู้จัก คุ้นเคยกันดี รูปร่างอ้วนใหญ่ ดำ ตาเข หน้าตาเป็นนักเลงน่าเกรงขาม แม่ของข้าพเจ้าเล่าว่า นายนนท์ ดำใหญ่คนนี้เป็นลูกชายของ นายนนท์ขาว ชาวตำบลตาก้อง ทำแม่นายนนท์ท้อง แล้วไม่รับเป็นลูก แม่นายนนท์โกรธแค้นมาก เมื่อลูกชายเกิดมาจึงตั้งชื่อว่า นายนนท์ เหมือนชื่อพ่อ ได้ชื่อว่าเป็นคนดุเป็นนักเลงอิทธิพลคนหนึ่ง แต่เป็นคนของเสือผาด
เมื่อเสือผาด ทับสายทอง พาพรรคพวกไปปล้นที่ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และเป็นการปล้นครั้งสุดท้ายถูก พล...ประชา บูรณธนิต วางแผนพิชิตได้ นายนนท์ คนนี้แหละที่ได้เอารถยนต์บรรทุก 10 ล้อของ นายศิลปชัย คนตำบลพะเนียงแตก เดินทางไปรับพวกปล้นของเสือผาด นายนนท์ นั่งคุมรถไปให้ นายศิลปชัย เป็นคนขับ เมื่อถึงตำบลหนองดินแดง ถูกตำรวจดักจับตามทาง จึงได้ยิงนายนนท์ กับนายศิลปชัย ทิ้งเสียข้างทางเอาน้ำมันราดแล้วเผาเสียเรียบร้อยในคืนนั้น
นายเท่ง คนไว เป็นนายตรวจรถยนต์ อยู่ที่ตำบลตาก้อง วันหนึ่งนั่งเก้าอี้อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ก็มีคนเดินเข้ามาหาสองคน ส่งจ..ให้นายเท่ง นายเท่งกำลังอ่าน จ..อยู่ ก็ถูกชายคนนั้นยิงหัวนั่งตายคาเก้าอี้ คนร้ายเดินออกไปอย่างลอยนวล เขาว่าเสือผาด ส่งลูกน้องมายิงทิ้งเสียด้วยเหตุที่นายเท่งไปยิงคนของเสือผาดตายไปก่อน ชื่อนายสงวน ถูกยิงศีรษะนั่งตาย น่าประหลาดที่นายเท่ง คนไว ก็นั่งตายคาเก้าอี้ที่บ้านนายหลง ชาวไร่เงิน
แต่ผู้เขียนก็รู้จักวงศ์สกุลของเสือผาดอยู่บ้าง พ่อของผู้เขียนรู้จักนายจรูญ ทับสายทอง บ้านคันลำอยู่แถวหลังองค์พระปฐมเจดีย์ เมื่อเป็นเด็กวัดห้วยจระเข้ พ่อก็เอาข้าพเจ้าไปฝากไว้กับหลวงตาปาน ทับสายทอง อาชายของเสือผาดคนหนึ่ง หลวงตาปานองค์นี้เคยเป็นทหารมียศเป็นสิบโท แล้วมาบวช บวชแล้วก็ยังชกมวย ซ้อมชกมวยอยู่เสมอ วันหนึ่งพระองค์หนึ่งมานั่งปัสสาวะอยู่บนชานกุฏิ หลวงพ่อปานเห็นเข้าก็โกรธ โดดเข้าเตะพระองค์นั้นศีรษะคะมำตกกุฏิไป หลวงตาปาน ทับสายทอง รูปร่างกำยำ แข็งแรง ตกค่ำท่านจะตีกลองยาว รำกลองยาวให้ดู แล้วก็รำมวยให้ดูด้วย
นายแสวง บุญทองดี อนามัยอำเภอเมืองสมุทรสงครามก็เป็นลูกหลานของท่าน แต่เปลี่ยนนามสกุลไปใช้อย่างอื่นภายหลัง
ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อประชา ไม่อยากใช้นามสกุล ทับสายทอง ขอให้เปลี่ยนนามสกุลให้ ข้าพเจ้าถามว่า พ่อคุณชื่อไร เขาบอกว่าชื่อมิ่ง ข้าพเจ้าก็เลยตั้งนามสกุลให้ว่า "ครูประชา มิ่งมนตรี" เขาเป็นครูอยู่อำเภอกำแพงแสนสมัยนั้น
นายผาด ทับสายทอง มีน้องชายคนหนึ่ง ชื่อ พุ่ม ทับสายทอง เป็นนักเลง ชอบดื่มเหล้า ใครอยากจะให้ตีหัวใครก็ขอเหล้าขวดเดียว แล้วเขาก็จะตีหัวให้ หรือชกหน้าให้ตามต้องการ
คราวหนึ่ง เขาฝากชื่อไว้ในแผ่นดินสยาม โดยเขาถือปืนเข้าไปดักยิงจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สนามหลวง แต่ยิงพลาด ไม่ถูกที่สำคัญ แต่ก็ยิงถูก และถูกตัดสินจำคุก
เล่าเรื่องเสือผาดประกอบ ก็เพื่อจะบอกว่า เสือผาด ทับสายทอง ก็เป็นศิษย์นอกครู ลูกนอกคอก ของหลวงพ่อเงิน
เสือผาด เริ่มมีชื่อมาตั้งแต่ปล้นฆ่า ร...เจี่ย แสงโชติ บิดาของ พล...จุมพล แสงโชติ (นายพลตำรวจตรีคนนี้ เป็นเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกับผู้เขียน และนายชื่น ทักษิณานุกูล เมื่อเรียนอยู่ที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย)
เสือผาด ถูกจับได้ ติดคุกอยู่หลายปี พอออกจากคุกก็ปล้นอีก เสือฮุย เสือเภา เพื่อนเสือด้วยกัน ถูกตำรวจยิงตาย เสือผาดหลบหนีรอดไปได้
คราวหนึ่ง นายจรูญ ผาสุกวณิชย์ นายอำเภอเมืองนครปฐมพร้อมด้วยนายศักดิ์ เศรษฐบุตร ปลัดอำเภอ และตำรวจ เข้าล้อมจับที่ตำบลหนองขาหยั่ง เสือผาดแอบอยู่ในห้องเจ้าหน้าที่ค้นจนทั่วไม่เห็นเขา
อีกครั้งหนึ่งเสือผาด กำลังอยู่ในวงการพนัน เล่นโปกัน ที่บ้านวังน้ำขาว ส...ทัพ เนาวรัตน์ นำตำรวจ 20 คน เข้าล้อมจับเสือผาดนั่งอยู่ ตำรวจหลายคนไม่เห็นเขา
อีกครั้งหนึ่ง เดินสวนกับ ร...ประสิทธิ์ วทานนท์ และพลตำรวจไสวที่สนามบินต้นสำโรง ตำรวจยิงด้วยปืนยิงเร็วในระยะเผาขน จนฝุ่นกลบตัวแต่ไม่ถูกเสือผาด เสือผาดหายตัวไปข้าง ๆ เนินดินในเวลากลางวันแสก ๆ
อีกครั้งหนึ่ง เดินสวนกับ ร...ประสิทธิ์ วทานนท์ และพลตำรวจไสวที่สนามบินต้นสำโรง ตำรวจยิงด้วยปืนยิงเร็วในระยะเผาขน จนฝุ่นกลบตัวแต่ไม่ถูกเสือผาด เสือผาดหายตัวไปข้าง ๆ เนินดินในเวลากลางวันแสก ๆ
ครั้งสุดท้ายที่เขาปล้นที่ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง พ...ประชา บูรณะธนิต ได้อำนวยการสืบสวนและวางแผนซ้อนกลส่งคนเข้าเป็นพวกปล้นด้วย ได้เกิดยิงต่อสู้กันกับตำรวจที่ส่งกำลังไปล้อม จนนายตำรวจชั้นร้อยตำรวจโท ตายไปคนหนึ่ง แต่เสือผาดหนีไปได้ไม่บาดเจ็บ เมื่อถูกล้อมจับจนมุมในทุ่งนา เสือผาดก็ถอดเอาพระเครื่องออกโยนทิ้ง แล้วระเบิดสมองตัวเองตายไป ไม่ใช่ตำรวจยิงตายแต่อย่างใด เสือผาดได้ออกปล้นมานับสิบ ๆ ครั้ง ถูกตำรวจยิงหลายครั้ง แต่หนีรอดไปได้ทุกครั้ง จนเป็นที่เลื่องลือกันแม้ในหมู่ตำรวจว่า เสือผาดมีของดี
ครั้งหนึ่ง พล...เนื่อง อาขุบุตร และ พ...สะอาด รัชตะประกร ได้ติดต่อขอให้เสือผาดเข้ามอบตัว เสือผาดก็เข้าพบสนทนาด้วย
ครั้งหนึ่ง พล...เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจติดต่อขอพบ เขาก็เข้าพบที่พระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่ข้างสนามหลวง ได้พบและสนทนากันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็รักษาวาจาสัตย์ ไม่ทำร้ายกัน แล้วต่างคนก็ต่างแยกกันกลับไป
คราวที่นัดพบกับนายตำรวจใหญ่นั้น ตำรวจใช้หลวงพ่อเงินเป็นสื่อนัดพบ คณะที่ไปพบเสือผาดมี พล...เนื่อง อาขุบุตร ผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 7 นครปฐม พ...สะอาด รัชตะประกร ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม นายทองสุก สุวัตถี นายอำเภอเมืองนครปฐม นายหล่อ สีละชาติ ศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม และ นายชื่น ทักษิณานุกูล ลูกศิษย์และลูกบุญธรรมของหลวงพ่อเงิน โดยนายชื่น ทักษิณานุกูล ได้ล่วงหน้าไปก่อน ได้ไปพบกับนายจันทร์ ชาวบ้านตำบลดอนยายหอม และได้พบกับเสือผาดที่นั่น แล้วจึงพาเสือผาดมาพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หน้าโบสถ์วัดดอนยายหอม โดยมีหลวงพ่อเงิน เป็นประธานอยู่ด้วย
เมื่อเสือผาดได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับผู้บังคับการ ตำรวจภูธรเขต ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด เขาก็ยิ้มอย่างใจเย็น แล้วสารภาพว่าเขาได้ปล้นฆ่าที่ไหนมาบ้าง แล้วเสือผาดก็คุยกับหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อเงินจึงถือโอกาสพูดเทศนาสั่งสอน โดยไม่ต้องติดกัณฑ์เทศน์ว่า
"เสือผาดนี้ก็เหมือนคนที่ขุดบ่อ ยิ่งขุดก็ยิ่งลงลึกลงไปทุกที ตัวก็จมลงไปทุกที หนักเข้าก็ลึกจนขึ้นไม่ได้ ได้แก่คนที่ทำบาปกรรมไว้ เป็นที่เกลียดกลัวของมหาชน และเป็นที่ต้องการของเจ้าหน้าที่ ทางที่ดีควรจะหยุดขุดบ่อฝังตัวเอง นานเข้าความชั่วที่ทำไว้ก็จะลืมเลือนไป จากความเกลียดกลัวของประชาชน ก็จะกลายเป็นคนดีได้อย่างสนิทเหมือนบ่อที่ขุดไว้ นานปี ธรรมชาติก็ช่วยกลบเกลื่อนให้หลุมตื้นขึ้นเป็นชั้นเสมอกับพื้นดินเดิม"
"เสือผาดก็เป็นคนไทย นับถือพระพุทธศาสนา ตัวเสือผาดเองก็มีคุณพระแขวนคอ คุ้มตัว จนคนทั่วไปเรียกชื่อว่า 'คุณพระ' ขึ้นชื่อว่าเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่นเป็นบาป จงสลัดบาปออกเสีย หันมาทำดี ก็จะเป็นโอกาสอันดี เจ้าหน้าที่เขาก็จะผ่อนผันโทษหนักให้เป็นเบาได้"
เสือผาดก็รับคำว่า จะขอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ แต่เขายังมีภาระรุงรังอยู่ขอไปจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน
เมื่อคุยกันถึงเรื่องธุระเสร็จแล้ว พล...เนื่อง อาขุบุตร ซึ่งเป็นผู้สนใจทางพระเครื่องอยู่ ก็คุยถึงเรื่องพระเครื่อง ต่างคนต่างนำออกอวดกัน เสือผาดก็ควักออกมาอวดบ้าง
"พระเครื่องของผมก็ศักดิ์สิทธิ์นัก เคยเข้าตาจนมาแล้วหลายครั้ง อาราธนาพระองค์นี้ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัยมาทุกครั้ง พระองค์นี้ไม่ใช่อยู่ยงคงกะพันอย่างเดียว ยังใช้ในทางแคล้วคลาด และกำบังตัวได้ด้วย เวลาทิ้งพระองค์นี้ลงไปในน้ำที่ขุ่น น้ำตรงนั้นจะเกิดช่องว่างใสเป็นทางลงไป จนถึงดินที่พระองค์นั้นนอนอยู่ทีเดียว"
เสือผาดย้ำว่า
"จะทดลองเดี๋ยวนี้ก็ได้"
พระเครื่องดินเผาองค์นั้น เป็นพระเครื่องของหลวงพ่อรุ่ง อาจารย์ของหลวงพ่อเงิน ซึ่งหลวงพ่อเงินก็มีติดตัวอยู่องค์หนึ่ง คราวเดินธุดงค์ก็นำติดตัวไป
หลวงพ่อรุ่งองค์นี้ บวชอยู่วัดดอนยายหอม มีชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ขลัง ไม่ได้เป็นสมภารเจ้าวัดอะไร ชอบทางวิทยาคม มีคนยกย่องว่าเก่งทางคาถาอาคม ชอบไปทางเวทย์มนต์คาถา มีเครื่องมือในการทำเครื่องรางของขลังพร้อม เหล็กสัก เหล็กจาร หลอดไม้รวก สำหรับลงตะกรุด ลูกอม สักให้แล้วก็ทดลองใช้มีดดาบฟันทันที หลวงพ่อรุ่งเก่งอีกทางหนึ่งคือให้หวย เมื่อหลวงพ่อเงินบวชใหม่ ๆ เคยให้หลวงพ่อเงินไปช่วยนั่งบริกรรมปลุกเสกพระ และเครื่องรางในโบสถ์
ในชีวิตของหลวงพ่อรุ่ง ได้ทำพระดินเผาไว้ประมาณ 10 องค์ เป็นดินเผาสีแดง ที่เสือผาดใช้เป็นพระเครื่องรางคุ้มตัวอยู่นั้นองค์หนึ่ง และมีที่หลวงพ่อเงินอีกองค์หนึ่ง เสือผาดมีอาจารย์เดียวกับหลวงพ่อเงิน จึงมาเคารพนับถือหลวงพ่อเงินเป็นครูอาจารย์อีกองค์หนึ่ง
แต่ดูเหมือนเสือผาดจะเสียสัตย์ที่ได้ลั่นวาจาไว้ต่อหน้าหลวงพ่อเงินว่าจะมอบตัว แต่ไม่ยอมมอบตัว จึงได้จบชีวิตลงที่ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่งในเวลาต่อมา โดยยิงตัวเองตายในที่ทุ่งนา แล้วตำรวจก็ตัดหัวมาเสียบประจานไว้ข้างองค์พระปฐมเจดีย์ วันนั้นข้าพเจ้าได้ข่าวจึงรีบเดินทางไปดู ได้เห็นหัวเสือผาดถูกตัดแค่คอเสียบไว้ เหมือนหัวโขน หรือหัวละคร หลังโรงหนัง โรงละคร
ถึงแม้ว่าชีวิตของเสือผาด จะไม่ได้ทำคุณงามความดีไว้ให้แก่ใคร นอกจากให้ความคุ้มครองป้องกันพรรคพวกของตัวไว้ไม่ให้ใครข่มเหงรังแก เสือผาดก็ฆ่าแก้แค้นให้ทันทีทันควัน ก็ดูเหมือนว่ามีคุณงามความดีอยู่แค่นั้น
แต่สิ่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครนึกถึงเลย ก็คือ เสือผาดได้สร้างคุณงามความดีให้แก่ตำรวจทางอ้อม หลังจากเสือผาดตายแล้ว ตำรวจที่ไปล้อมจับคราวนั้น ที่เคยปากสั่น ขาสั่น มิ่งขวัญหายเพราะกลัวตายก็กลายเป็นผู้กล้าหาญไปทั่วหน้า พบหน้าใครก็คุยเขื่องเรื่องปราบโจรปล้นคุ้งพยอม ล้อมจับเสือผาด บ้างก็คุยว่าเสือผาดตายเพราะลูกปืนจากปากกระบอกของตน หลายคนได้เลื่อนยศกันคราวนั้น แม้แต่ พ...ประชา บูรณะธนิต ก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็น พันตำรวจเอก ในคราวนั้นด้วย คงจะพอกล่าวได้ว่า เสือผาดสร้างคุณงามความดีไว้ให้แก่ตำรวจทางอ้อม
และเรื่องเสือผาด ทับสายทอง มีชื่อหลวงพ่อเงินเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วยโดยทางตำรวจขอร้องให้ท่านเป็นสื่อ เป็นประธานในการนัดพบพูดจากันกับเสือร้าย 7 จังหวัด ชื่อ ผาด ทับสายทอง หรือที่มีสมญานามด้วยความเกรงกลัวว่า "คุณพระ"
สมัยเสือผาด ทับสายทอง มีชีวิตอยู่ ไม่มีใครกล้าออกชื่อเสือผาดเรียกกันว่า "คุณพระ"
ส่วนข้าพเจ้าไม่ค่อยกลัวเสือผาด ทับสายทอง เพราะข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ของของหลวงตาปาน ทับสายทอง วัดห้วยจระเข้ ซึ่งเป็นอาของเสือผาด ทับสายทอง แล้วยังมีเพื่อนอีกคนหนึ่งเขาไม่อยากใช้นามสกุลทับสายทอง ข้าพเจ้าจึงตั้งนามสกุลให้ว่า "มิ่งมนตรี" เพราะพ่อเขาชื่อ มิ่ง ทับสายทอง

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๑๔ พรหมวิหารธรรม

๑๔. พรหมวิหารธรรม
พรหมวิหารธรรม แปลว่าสถานที่อาศัยสถิตของพระพรหม  มีลักษณะ ๔ ประการคือ
                   ๑.     เมตตา    รักใคร่อยากให้เขาเป็นสุข
                   ๒.    กรุณา     สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์
                   ๓.    มุทิตา    ยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดี มีสุข
                   ๔.    อุเบกขา  วางใจเป็นกลางได้  ในคนจนคนมี คนดีคนชั่ว  มิตรและศัตรู เหมือน                                    พระพุทธเจ้าวางใจเป็นกลางได้ในระหว่างพระราหุล พระโอรส  กับพระเทวทัต ผู้คิด                                   ประทุษร้าย  และช้างนาฬาคีรีที่วิ่งมาจะแทงพระองค์
ผู้ใดมีคุณสมบัติทั้ง ๔ ประการนี้ อยู่ในจิตใจ  หัวใจของมนุษย์ผู้นั้นก็จะเป็นวิหารธรรมที่มาสถิตอยู่อาศัยของพระพรหม (คำย่อว่า  เม กะ มุ อุ)   และมีคาถาว่า  นะ เมตตา, โม กรุณา, พุท มุทิตา,  ธา อุเบกขา, ยะ ไมตรี ฯ  เป็นคาถาเมตามหานิยม
น้ำใจของหลวงพ่อเงินนั้น ผู้ใกล้ชิดก็จะแลเห็นได้ว่า   เป็นที่สถิตของพระพรหมได้จริงๆ   เพราะหลวงพ่อมีน้ำใจเป็นพรหมวิหารจริงๆ 
วง ศ์ญาติของหลวงพ่อ   กับลูกศิษย์และคนอื่นไกลที่ไปหา   หลวงพ่อมีน้ำใจต่อคนเหล่านั้นเสมอเหมือนกัน   น้ำใจอันกว้างขวางดุจน้ำใจของพระพรหมนี้  แผ่ไปในคนทั้งหลายทั่วหน้า   แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน  หลวงพ่อเป็นพระที่มีเมตตาบารมีสูงมาก
“ฉันสอนคนไหนก็สอนด้วยเมตตา  ฉันแผ่เมตตาแก่ทุกคน   เจตนาดีต่อเขาอย่างแรงกล้า  จนเป็นเมตตานุภาพ   น้อมจิตของเขาให้มีแต่ความภักดี  เกิดความเชื่อถือ   จิตของเขาก็อ่อนโยนลง  เราจะบังคับจิตของเขาให้ไปทางไหนก็ได้  เรื่องอำนาจจิตนี้ฉันฝึกฝนมาแรมปี   พอจะน้อมใจคนให้อ่อนลงได้”
“คนใดฉันสอนไม่ได้แสดงว่าคนนั้นมีกรรมหนัก   ไม่สามารถช่วยได้ จัดอยู่ในจำพวกที่เรียกว่า  “เรียกไม่ลุกปลุกไม่ตื่น”   ต้องปล่อยไปตามยถากรรม”
เรื่องแผ่เมตตานี้หลวงพ่อพูดอยู่เสมอ   แม้แต่คนขนาดไอ้เสือ หรือโจร  หลวงพ่อก็บอกว่า
“ก่อนนอนให้แผ่เมตตาไว้   โจรผู้ร้ายมันก็สงสารเรา  มันปล้นฆ่าเราไม่ลงหรอก “
“โจรจะปล้นจะฆ่าเรา  เราก็ว่า  น่าสงสารจริงเจ้าโจรเอ๋ย   ช่างโง่งมงายไม่รู้จักบาปกรรม”
“ถ้าพบนักเลงอันธพาล   เพ่งมองเราอย่างไม่พอใจ   แทนที่จะมองตอบด้วยสายตาที่กล้าแข็ง   คิดโกรธ คิดร้ายตอบ   เราก็นึกสงสารเขา คิดว่าเขาเป็นมิตรเรา   เขาคงจะเข้าใจผิดต่อเรา   จิตใจอันกล้าแข็งของเขาก็จะอ่อนลง  คลายความดุดันโหดเหี้ยมลงได้”
เรื่องนี้ผู้เขียนเชื่อว่าจริง  และการที่เราไม่คิดต่อสู้   และคิดประทุษร้ายตอบเขานั้น  เขาย่อมแพ้ภัยตัวเอง  เขาย่อมได้รับโทษรับภัยเอง 
ผู้เขียนจำได้ว่า วันหนึ่งถูกนักเลงอันธพาลวัยรุ่นคนหนึ่งเขม่น   เข้ามายืนเทียบอยู่สักพักใหญ่   แล้วพูดว่า “อ้ายหยั่งงี้ มันต้องเอาให้หัวแตก”    แต่ข้าพเจ้าทำไม่รู้ไม่ชี้   ไม่หันไปมองเลย เขาก็ไม่รู้จะหาเรื่องอย่างไร จีงเดินจากไป ต่อมาไม่กี่วัน  เขาคนนั้นก็ถูกตำรวจจับในข้อหาก่อคดีวิวาทและดูเหมือนไปตายเสียในคุก
ประจักษ์พยานในเรื่องเมตตาพรหมวิหารของหลวงพ่อเงิน มีอยู่หลายเรื่อง  จะขอนำมาเล่าสัก ๒- ๓ เรื่อง ดังต่อไปนี้

๑.ไอ้สังข์

 มีลิงตัวหนึ่งสีของมันค่อนข้างขาวเหมือนสีหอยสังข์   จึงทำให้หลวงพ่อเรียกมันว่า ไอ้สังข์  มันจะเป็นลิงของใครเอามาปล่อยหรือมาเองอย่างไร  ไม่มีใครรู้ว่ามันมาแต่ไหน   จะเป็นลิงเทวดาส่งมาส่งเสริมบารมีหลวงพ่อเงินหรือว่ามันรู้โดยสัญชาตญาณของสัตว์ว่าหลวงพ่อเป็นที่พึ่งได้   หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ อยู่ๆมันก็เข้ามาอยู่ในวัดดอนยายหอม  ทำให้ใครๆนึกไปถึงลิงในครั้งพุทธกาลที่มารับใช้ปรนนิบัติพระพุทธเจ้า   หลวงพ่อเรียกมันว่า “ไอ้สังข์”  เพราะสีขนของมันอ่อนคล้ายกับสีหอยสังข์   อ้ายสังข์เป็นลิงดีไม่เป็นลิงหยาบโลนเหมือนลิงอื่น ใครจะไปจะมาก็ไม่แยกเขี้ยวหลอกหรือทำร้ายใคร  กินอยู่ก็ไม่ตะกละตะกราม   ไม่สกปรก  ที่พิเศษคือมันรักหลวงพ่อมาก  ตื่นเช้ามันจะคอยจ้องดูว่าหลวงพ่อตื่นหรือยัง   ถ้าเห็นหลวงพ่อตื่นขึ้นมามันก็จะดีใจ  ตรงเข้าเกาะแข้งเกาะขา  ส่งเสียงร้องเจี๊ยกจ๊าก   เมื่อลุกศิษย์จัดสำรับภัตตาหารมาถวายหลวงพ่อ  มันก็จะนั่งดูอยู่ห่างๆ คอยระวังแมวจะเข้ามากินอาหารสำรับกับข้าวของหลวงพ่อ   แมวตัวไหนเดินเข้ามาใกล้ๆ  มันจะจับเหวี่ยงออกไปทันที  ตัวมันจะนั่งไม่แตะต้องอาหารของหลวงพ่อเลย   ใครจะตีมันก็จะวิ่งเข้าไปหมอบอยู่ที่เท้าหลวงพ่อ
เรื่องที่ประหลาดอย่างยิ่งก็คือ ในวันพระ ๘ ค่ำ  เห็นหลวงพ่อขึ้นธรรมาสน์เทศน์  มันจะเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ๆ นั่งสองขา ชูแขนขึ้นมือวางอยู่ที่ตัก  มองดูไม่ผิดกับคนแก่นั่งฟังเทศน์   มิหนำซ้ำยังหลับตาเสียด้วย
เวลาหลวงพ่อเดินไปไหน  ม้นจะติดตามไปส่ง  จนหลวงพ่อพ้นเขตวัด  หลวงพ่อต้องไล่มันกลับ  มันจึงจะกลับ 
พอแดดร่มลมตก  ตอนบ่ายๆ มันจะขึ้นไปบนยอดต้นไม้ที่สูงสุดของวัด   มองไปต้นทางเพื่อแลเห็นสีเหลืองๆเดินมา   มันจำได้ว่าเป็นหลวงพ่อ  มันก็จะรีบลงจากยอดไม้ลงไปรอรับหน้าหลวงพ่อทันที   บางทีมันเดินเข้ามาในกอหญ้าเห็นหางไวๆ  หลวงพ่อไม่มองสบตามัน  มันก็จะนิ่งเสีย  พอหลวงพ่อร้องเรียกไอ้สังข์   มันจะรีบวิ่งแน่วเข้าไปกอดแข้งกอดขาดีอกดีใจไม่ผิดกับลูกที่ได้พบพ่อแม่   มันผูกพันจงรักภักดีหลวงพ่อเสียจริงๆ 
ในที่สุดมันก็ป่วยเป็นไข้หวัด   คนเอายานัตถ์เป่ามันเข้า  มันสำลักน้ำตาไหลในที่สุดมันก็ตายไป  อ้ายสังข๋มันเกิดมาเป็นพยานประดับบารมีของหลวงพ่อในเรื่องเมตตาพรหมวิหารธรรมว่า   แม้แต่ลิง ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็ยังจงรักภักดีต่อหลวงพ่อ   เพราะหลวงพ่อมีเมตตาต่อมัน 

๒. ไอ้ขาว
                          สัตว์เดรัจฉานอีกตัวหนึ่ง  ที่เข้ามาเป็นสาวกประดับเมตตาบารมีของหลวงพ่อ  
                          ก็คือ “ไอ้ขาว” มันเป็นแพะตัวผู้สีขาว
                         ก่อนที่แพะสีขาวตัวนี้จะมาปรากฎตัวอยู่ให้คนรู้เห็นนั้น  คืนหนึ่งเวลา ๑ทุ่มเศษ  หลวงพ่อได้ยินเสียงแพะร้อง   จึงให้พระภิกษุในวัดเอาตะเกียงไปส่องดู จนทั่วก็ไม่พบแพะที่ไหนสักตัวเดียว      
                          รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง  จึงมีพระภิกษุจากต่างถิ่น ๒ รูป  เดินทางมานมัสการหลวงพ่อ  ได้นำแพะสีขาวมาด้วย ๑ ตัว  มีสีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว   กีบเท้าสีแดงเข้ม   รูปร่างสูงใหญ่กว่าแพะทั้งหลายที่เคยเห็น   เมื่อมาถึงหลวงพ่อ เจ้าแพะขาวก็เดินเข้าไปหาหลวงพ่อ  หลวงพ่อเพ่งมองดูมัน  แพะขาวมันก็เพ่งมองดูหลวงพ่อ   แล้วมันก็หมอบลงที่เท้าของหลวงพ่อ     ใช้จมูกดมเท้าของหลวงพ่อคล้ายๆกับแสดงความจงรักภักดี   หรือฝากตัวอยู่กับหลวงพ่อเป็นที่อัศจรรย์   พระภิกษุ ๒ รูปถวายแพะให้หลวงพ่อไว้  หลวงพ่อก็รับแพะไว้   แพะตัวนี้มันรักใคร่หลวงพ่อมาก   หลวงพ่อเดินไปไหน มันก็จะเดินตามไปเรื่อยๆ   แพะตัวนี้กลายเป็นสัตว์ประหลาดขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง    เป็นแพะแสนรู้เข้าไปในกุฎิกินผลไม้หมด แม้แต่กล้วยหอม กล้วยไข่ที่คนเอามาถวายพระ  ลูกศิษย์วัดต้องคอยไล่ทุบตี  มันก็วิ่งหนีไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ร้องห้ามว่า   “ช่างมันเถอะ มันหิวมันก็กินมั่ง”
                      บางวันเจ้าแพะตัวนี้มันก็เข้ามาหมอบอยู่หน้ากุฎิตรงหน้าหลวงพ่อ  เวลาใครมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อนั่งรับแขก  มันก็มาหมอบฟังคนคุยกับหลวงพ่อ  บางทีเวลาคนเขาเปิดวิทยุฟัง มันก็เดินแหวกคนเข้าไปนอนหมอบฟังวิทยุบ้าง    หลวงพ่อก็เอาผ้าปูมาให้มันรองนอนฟังอยู่ใกล้ๆ ลำโพงวิทยุเสียด้วย   เจ้าแพะตัวนี้ก็เลยติดนิสัยชอบฟังวิทยุ   ฟังดนตรีจากวิทยุเหมือนคน  หลวงพ่อเรียกมันว่า “ไอ้ขาว”
                    แต่ต่อมาในหน้าแล้ง   ทางวัดดอนยายหอม ซึ่งแวดล้อมอยู่ด้วยทุ่งนาแตกระแหง ไม่มีหญ้าจะให้ไอ้ขาวกิน    มันก็ผ่ายผอมลง  หลวงพ่อจึงตัดสินใจยกให้พระทางเขตอำเภอกำแพงแสนไปเลี้ยง   แพะขาวชื่อ   “อ้ายขาว” ตัวนี้จึงเป็นสัตว์ประดับเมตตาบารมีของหลวงพ่อเป็นพยานถึงเมตตาบารมีของหลวงพ่ออีกเรื่องหนึ่ง
๓.ไอ้สำลี
               เมื่ออ้ายสังข์ตายไป   อ้ายขาวเข้ามาแทนที่  เมื่ออ้ายขาวจากไป ก็มีสัตว์เดรัจฉานอีกตัวหนึ่งเข้ามาอยู่กับหลวงพ่ออีก  คราวนี้มันเป็นสัตว์ใหญ่กว่าเดิม    ที่จริงสัตว์เดรัจฉานที่มาอยู่กับหลวงพ่อนั้น  มันใหญ่ขึ้นตามลำดับ   คือ ลิง แล้วก็แพะ คราวนี้เป็นวัวตัวผู้สีขาวสะอาดรูปร่างสูงใหญ่ลักษณะงาม   ที่น่าแปลกก็คือสัตว์ทั้ง ๓ ตัวนี้สีขาวหมด
               คนที่นำวัวมาถวายหลวงพ่อชื่อ  จ่าเอม ทัศนงาม  มีตำแหน่งเป็นพัสดี เรือนจำจังหวัดนครปฐม   หรือที่เรียกกันว่า  เจ้าพ่อคุก  ท่านผู้นี้เดิมเป็นจ่าทหารอากาศ  เป็นนักบินมาก่อน  แล้วมาเป็นพัสดีเรือนจำ   นักโทษเรียกคุณพ่อกันทั้งคุก   จ่าเอมนำวัวตัวนี้มาถวายหลวงพ่อ  จะได้มาจากไหนก็ไม่ทราบ  แต่มักจะเป็นธรรมเนียมของคนไทยสมัยโน้น  ถ้าเห็นวัวตัวไหนมีลักษณะงาม เป็นโคอุศุภราช  คือเขางาม สีกายขาวสะอาด อกใหญ่ หนอก(คือคอ) ใหญ่  สะโพกใหญ่  หางยาวเป็นพวง  เขาจะไม่เลี้ยงไว้ใช้งาน  เขาจะถวายเป็นวัวพระ   หลวงพ่อรับวัวตัวนี้ไว้   แล้วตั้งชื่อมันว่า “สำลี”   มันเป็นวัวฉลาดแสนรู้ หลวงพ่อรักมันมาก   มันก็รักหลวงพ่อมากด้วย   ขณะที่มันกำลังและเล็มหญ้าอยู่  หากได้ยินเสียงหลวงพ่อเรียกชื่อมัน  มันจะเงยหน้าขึ้น   แล้วเดินเข้าไปหา  เวลาหลวงพ่อดุมันจะหยุดทันที   เวลาเด็กรังแกมัน  มันจะวิ่งเข้าไปหาหลวงพ่อ  เวลาหลวงพ่อไปไหนมา มันจะเข้าไปหา เอาจมูกดมกลิ่น แล้วก็เกลือกหน้าไปมาตามจีวรของหลวงพ่อแสดงความดีใจที่หลวงพ่อกลับมา   เวลาหลวงพ่อฉันเพลมันจะเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ   หลวงพ่อเอาช้อนซ่อมแทงขนมส่งให้มันมันก็จะกิน  บางวันไม่มีขนมหลวงพ่อก็ปั้นข้าวสุกยื่นให้มันกิน   มันก็กินก้อนข้าวสุก  อ้ายสำลีจึงกลายเป็นวัวประหลาดที่กินอาหารอย่างคน 


             แต่พอตกหน้าแล้ง หญ้าในบริเวณวัดดอนยายหอมแห้งเหี่ยวตายหมด  หลวงพ่อจึงส่งมันไปให้นายเนียม  ด้วงพูล น้องชายของท่านเอาไปเลี้ยง   วันหนึ่งนายเนียมจับอ้ายสำลีเทียมไถ  อ้ายสำลีเผ่นโผนสุดแรง  คันไถหักหมด จะจับก็ไม่ยอมให้จับ  นายเนียมต้องร้องปลอบว่า
“สำลีเอ๋ย   มาม๊ะลูกม๊ะ  กลับเข้าบ้านพ่อไม่ใช้งานเอ็งอีกแล้ว”
อ้ายสำลีได้ยินเสียงปลอบจึงยอมให้จับผูกเชือก
          โดยเหตุที่อ้ายสำลีเป็นวัวสูงใหญ่   ลักษณะงาม กายสีขาว เขาจึงชอบใช้อ้ายสำลีแห่นาค   เขาผูกผ้าสีแดงที่คอ  ผูกกระดิ่ง   ผูกลูกกระพรวน ดังโกร่งกร่าง  เข้าขบวนแห่นาคมีกลองยาว
มีแตรบรรเลง  อ้ายสำลีชอบมาก ไม่เคยวิ่งหนีเลย  เมื่อไปในงานบวชนาค ก็มีพวกนักเลงเอาสุราบ้าง  เอากระแช่บ้าง น้ำตาลเมาบ้าง  เหล้าบ้างให้อ้ายสำลีกิน มันก็กิน อ้ายสำลีจึงกลายเป็นวัวดื่มน้ำเมาไปด้วย   เวลามันเมามันก็ยืนนิ่งซึมอยู่  กว่าจะมาถึงวัดอ้ายสำลีก็หายเมา  หลวงพ่อจึงไม่รู้ว่าไอ้สำลีขี้เมา


 ๔.นายชื่น ทักษิณานุกูล
            รายที่สี่ที่มาอยู่เป็นเครื่องประดับเมตตาบารมี พรหมวิหารธรรมของหลวงพ่อเงินนั้น   ไม่ใช่สัตว์เดรัฉาน แต่เป็นสัตว์โลกผู้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย  อย่างหนึ่ง ซึ่งท่านเรียกว่า “สัตว์ประเสริฐ”   คือสัตว์มนุษ์ ผู้มีใจสูง  สัตว์โลกรายนี้เป็นชาวไทย มีนามกรว่า  นายชื่น ทักษิณานุกูล   เป็นเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นกับผุ้เขียน เมื่อสมัยเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย   นายชื่นคนนี้ รูปร่างแข็งแรง สันทัด ถนัดทางหมัดมวยชกต่อย   เรียนหนังสือเก่งพอประมาณ ไม่น่าเชื่อว่าต่อมาเขาจะกลายเป็นนักเบียน   เขาเขียนชีวประวัติหลวงพ่อเงินไว้เป็นหนังสือเล่มโตมาก   ชื่อ “หลวงพ่อเงิน เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม” แพร่หลายมากอยู่สมัยหนึ่ง
          นายชื่น   ทักษิณานุกูลคนนี้แหละ เป็นลูกศิษย์ก้นกุฎิของหลวงพ่อ  เป็นลูกศิษย์ที่ถวายตัวเป็น” ลูกบุญธรรม “  ของหลวงพ่อ  เดิมเขาเกิดในตระกูล “บัวโต”   ต่อมาเขาใช้นามสกุลว่า “ทักษิณานุกูล”  คือนามสมณศักดิ์ของหลวงพ่อ ตอนเป็น “พระครูทักษิณานุกูล”   เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม
        นายชื่น ทักษิณานุกูล คนนี้แหละเป็นคนใกล้ชิดหลวงพ่อ   รู้จักหลวงพ่อดีที่สุด และก็เป็นคนมีการศึกษาดี  เขียนหนังสือเป็นพอที่จะเขียนประวัติหลวงพ่อเงินให้คนอ่านได้   เขาจึงได้เขียนประวัติของหลวงพ่อเงินขึ้น    ทำให้คนทั้งหลายได้อ่านและได้ทราบชีวประวัติและปฎิปทาศีลาจารวัตรของหลวงพ่อที่แท้จริง  นับว่าเป็นบุญกุศลของทั้ง  ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายนายชื่นก็ได้ศึกษาอบรมตนไปด้วย  ในขณะที่เขียนประวัติของหลวงพ่อ    เพราะอานิสงค์ของการเขียนประวัติของพระสุปฎิปันโน  สาวกสังโฆนั้น  เท่ากับเป็นการฝึกอบรมจิตของตนเองไปด้วยอย่างดีวิเศษ     เป็นการปฎิบัติงานเพื่อปฎิบัติธรรมอย่างหนึ่ง   เป็นการอุทิศตนต่อหน้าที่อันชอบธรรมอย่างหนึ่ง  เป็นการเพ่งพินิจปูชนียบุคคล   เป็นการบูชาผู้ที่ควรบูชาอย่างหนึ่ง   เป็นการอุทิศตนเพื่อพระผู้เป็นเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจไม่หวังผลตอบแทนประการหนึ่ง  ซึ่งผู้เขียนเรื่องนี้ก็ปฎิบัตตนเช่นเดียวกับนายชื่นนั่นเอง 
          บุญกุศลประการที่สองก็คือ   หลวงพ่อเองที่ได้อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนามาตลอดชีวิตนั้น   ไม่ลี้ลับดับสูญ  ยังปรากฎเป็นสัจธรรม  คือความจริงอยู่ อย่างน้อยก็ในใจของลูกศิษย์  อย่างน้อยก็ในบรรณโลก   เพื่อผู้เกิดมาภายหลังจะได้เดินตามรอยเท้าไป
         บุญกุศลประการที่สาม ก็คือคนอื่นคนไกลที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า  ไม่เคยได้ยินชื่อ (เพราะเกิดมาไม่ทัน) จะได้พบได้รู้จากหนังสือชีวประวัติที่นายชื่นได้เขียนขึ้นนั้น   จะได้รู้แท้แน่แก่ใจว่า  พระสุปฎิปันโน (พระผู้ปฎิบัติดี)  พระอุชุปฎิปันโน (พระผู้ปฎิบัติงดงาม)   พระญายปฎิปันโน (พระผู้ปฎิบัติด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม)    พระสามีจิปฎิปันโน (พระผู้ปฎิบัติด้วยความจงรักภักดีต่อพระรัตนตรัย ) นั้น  มีอยู่ในพระพุทธศาสนานี้  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
        “พระอาจารย์ดี   ย่อมมีลูกศิษย์ดี”
         “ดูต้นไม้ให้ดูดอกผล”
        “ดูคน  ให้ดูลูก”
          “ดูครู ให้ดูศิษย์”
            คำกล่าวนี้เป็นความจริงแท้  แม้แต่คำว่า
           ดูเจ้านายให้ดูไพร่พล    ดูแม่ทัพให้ดูทหาร    ดูพระราชาให้ดูอำมาตย์ราชเสนา ดูหัวหน้าให้ดูลูกน้อง   ดูสมภารให้ดูพระ    ดูอาจารย์ให้ดูลูกศิษย์
           เป็นความจริงพิสูจน์ได้จากหลวงพ่อเงิน   ความเมตตากรุณาของท่านก็ดี   การทรงศีลทรงธรรมของท่านก็ดี    ดูได้จากลุกศิษย์ของท่านที่พูดที่เขียนไว้นั้น   ความดีความงามของท่านนั้น ถ่ายทอดลงในหัวใจของลูกศิษย์   ลูกศิษย์จึงเกิดความบันดาลใจเขียนสดุดียกย่องสรรเสริญเอาไว้  ซึ่งอาจารย์ที่ไม่ดีถึงระดับแล้ว  จะไม่มีลูกศิษย์เช่นนี้เลย
         เพราะเมื่ออาจารย์ยังมีชีวิตอยู่นั้น   เลี้ยงลูกศิษย์ไว้ก็ด้วยความเมตตา ไม่ได้คิดไม่ได้หวังว่าลูกศิษย์ของท่านจะเขียนชีวประวัติออกเผยแพร่แก่มหาชน    แต่ว่าลูกศิษย์มันเกิดความเคารพเลื่อมใส  เกิดความบันดาลใจจากเมตตาบารมี  และคุณธรรมความดีอื่นๆ ทำให้เขาคิดเขียนชีวประวัติพระอาจารย์ออกเผยแพร่แก่มหาชนด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
        ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า   พระอาจารย์ที่ดีถึงระดับหนี่ง  ถึงจุดหนึ่ง  จึงจะมีลูกศิษย์ชนิดนี้ได้   ถ้าไม่ดีถึงระดับก็ไม่มีลูกศิษย์ชนิดนี้
         ลูกศิษย์อย่างนายชื่น  ทักษิณานุกูล   จึงเป็นประกาศนียบัตรแสดงคุณธรรมความดีของอาจารย์  
         เรื่องนี้ขอให้ดูได้ทุกวงการ
         วงการเจ้านาย  พระราชามหากษัตริย์
        วงการข้าราชการ  ทหาร ตำรวจ
         วงการครูอาจารย์
         วงการของศิลปิน
          วงการของกวี  วงการนักเขียน  นักประพันธ์
         วงการของพระภิกษุสงฆ์
        ถ้าครูอาจารย์ดีถึงขนาดดีถึงจุดหนึ่งแล้ว    แน่นอนย่อมจะมีลูกศิษย์ดี   ลูกศิษย์ดีนั้นแหละจะเป็นผุ้รวบรวมเรียบเรียงผลงานของครูอาจารย์
        พระพุทธเจ้า    พระเยซูคริสต์  พระนามีมูฮัมหมัด   ท่านนานัค แห่งศาสนาสิกซ์    ท่านไสบาบา   ศาสดาแห่งศาสนาฮินดู    ล้วนแต่มิได้เขียนชีวประวัติของตนเอง    ไม่ได้รวบรวมคำสั่งสอนของตนเองไว้เลยแม้แต่คนเดียว    พระอรหันต์ไม่เคยเขียนประวัติของตนเองไว้อวดใคร
        ลุกศิษย์ทำ   พระสาวกทำทั้งสิ้น
         นายชื่น ทักษิณานุกูล  เล่าไว้ว่า   ครั้งหนึ่งเคยไปล่องแก่งทางแควน้อยแควใหญ่  ไทรโยค เมืองกาญจน์ เกิดอุบัติเหตุ  แพแตก จมน้ำว่ายน้ำไม่ไหว   จึงรำลีกถึงหลวงพ่อเงินเป็นที่พึ่งร้องว่า
        “หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”
          แล้วก็หมดความรู้สึกไป ตื่นขึ้นมาพบตัวเองนอนอยู่บนหาดทรายชายตลิ่ง
          เมื่อเดินทางไปถึงบ้านดอนยายหอม    ก็ไปกราบหลวงพ่อเล่าให้หลวงพ่อฟัง 
          “ฉันก็นึกถึง  เห็นหน้าในญาณ”
            หลวงพ่อพูดอย่างนี้กับนายชื่น   ตรงกับวันที่นายชื่น ประสบอุบัติเหตุแพแตก จมน้ำ
            นายชื่นจึงยืนยันว่า    เขารอดตายเพราะหลวงพ่อช่วย  คนอื่นอาจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหรือไม่สนใจอะไร
              แต่นายชื่น ทักษิณานุกูล เชื่อถือในศรัทธาเต็มเปื่ยมอยู่ในหัวใจ   เขาจึงเขียนหนังสือเรื่อง “หลวงพ่อเงิน เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม”
               นายชื่น  ทักษิณานุกูล  เป็นศิษย์ก้นกุฎิเคยเรียนหนังสือร่วมชั้นกับข้าพเจ้า ที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย   มีนิสัยชอบชกต่อยไม่กลัวใคร  จบมัธยม ๖ แล้วก็ออกมาเป็นตำรวจ  หลวงพ่ออยากให้บวชเรียนในพระพุทธศาสนาเจริญรอยตามท่าน นายชื่นก็ไม่มีอุปนิสัย
            ลูกศิษย์อย่างนายชื่น ทักษิณานุกูล  นั้น ท่านเรียกว่า “อันเตวาสิก” (ศิษย์ภายในหรือศิษย์ก้นกุฎิ) 
        ส่วนลูกศิษย์อย่างข้าพเจ้า   เขาเรียกว่า  “พาหิระวาสิก”  (ศิษย์ภายนอก)  เพียงแต่ท่านเป็นพระอุปัชฌาชย์   จึงมีเรื่องเขียนได้ไม่มากนัก
         ส่วนนายชื่น ทักษิณานุกูลนั้น  เขารู้เรื่องหลวงพ่อมาก  ใครอยากรู้รายละเอียดต้องอ่านเรื่องที่นายชื่นเขียนไว้แล้ว 
         นายชื่น ทักษิณานุกูลเขาเป็นลูกกำพร้า  เกิดมาไม่เคยเห็นหน้าแม่  เขาอยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่จำความไม่ได้   เขาเล่าว่าเห็นเขามีแม่กัน   เมื่อเห็นผู้หญิงไปที่วัดก็เข้าไปหา    อยากจะเอาเป็นแม่  แต่หญิงคนนั้นก็ดุเอาเมื่อเขาเรียก แม่
         “ข้าไม่ใช่แม่เอ็ง”   นายชื่นได้ยินก็น้ำตาหยดพรากแก้ม  นายชื่นจึงยึดเอาหลวงพ่อเป็นทั้งพ่อและแม่มาตลอดชีวิต
          เขามีพี่ชายคนหนึ่ง   ชื่อ ส.ต.ท. ชอบ บัวโต    เป็นตำรวจมือปราบคนหนึ่ง  เคยยิงทิ้งหรือ “เก็บ” ผู้ร้ายมาแล้วหลายคน   เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ตำรวจ   เป็นมือปืนคนหนึ่งของ  พล.ต.ท.ประชา   บูรณะธนิต   ผู้บัญชาการตำรวจสมัยนั้น
(โปรดติดตามตอนต่อไป)







วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๑๓ สร้างโบสถ์คอนกรึตราคาล้าน

๑๓. สร้างโบสถ์คอนกรีตราคาล้าน
มีบางคนพูดเล่น ๆ ถึงสมภารเจ้าวัดว่า สมภารเจ้าวัดมีอยู่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่ง "สมภารอาศัยวัด" ประเภทหนึ่ง "วัดอาศัยสมภาร"ความหมายก็คงจะเป็นที่เข้าใจกันดีในหมู่ชาวบ้าน
บางคนก็มีวาจาคารม ไปอีกอย่างหนึ่งว่า สมภารมี 5 ประเภท คือ หนึ่ง สมภารเสริม สอง สมภารสร้าง สาม สมภารเสก สี่ สมภารสวดห้า สมภารไสย
อธิบายความว่า สมภารประเภทหนึ่งนั้นซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ บางองค์ชอบสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นทั้งหมด โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิ เมรุเผาผี โรงเรียนปริยัติธรรม หอไตรหอระฆัง รวมทั้งคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ตัวอย่างก็เห็นมีอยู่ที่วัดไผ่โรงวัว ของหลวงพ่อขอม แห่งอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ใครไปชมวัดนี้ก็ต้องยกมือขึ้นวันทาสาธุว่า หลวงพ่อขอมนี้คือสมภารสร้างโดยแท้จริง
สมภารอีกประเภทหนึ่งนั้น เก่งทางสมถะภาวนา นิยมไปทางปลุกเสกเครื่องรางของขลัง โด่งดังมีชื่อเสียงไปอีกทางหนึ่ง
สมภารอีกประเภทหนึ่งนั้น เก่งทางเทศน์มหาชาติ มหาพรหม ว่าแหล่เทศน์ได้เสนาะโสตดีนัก สมภารประเภทนี้สมัยก่อนมีมากเหมือนกัน แต่สมัยหลังนี้หาได้น้อยเต็มที น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน อันที่จริงเป็นวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาเราอย่างหนึ่ง ควรจะรักษาไว้ ไม่น่าเกลียดน่าชังอะไร เพราะเป็นประเพณีของไทยเราแต่โบราณกาลมา เล่านิทานธรรมดา ฟังมันจืดหูนัก ก็ต้องแต่งเป็นกลอน ขับร้องเป็นเพลงเสภาจึงจะสนุกหู ถึงใจคน การเทศน์ธรรมดาก็เหมือนกัน มันจืดชืดนัก จึงต้องว่าเป็นทำนองเสนาะ เปลี่ยนทำนองเปลี่ยนลีลาไปตามท้องเรื่อง เช่นการเทศน์แหล่มหาชาติ เป็นต้น
สมภารอีกประเภทหนึ่งนั้นคือสมภารไสย อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่า หมายถึงเก่งทางไสยศาสตร์ หรือเก่งทางไสยาสน์ แน่ ก็เอาเป็นว่ามีสมภารอยู่5 ประเภทดังว่ามานี้
อันที่จริงการเป็นสมภารเจ้าวัดนี้ ก็เปรียบเหมือนพ่อบ้านแม่เรือนต้องแบกภาระไว้จึงเรียกว่า "สมภาร" แปลความว่ามีภาระอยู่เสมอ ไม่หยุดหย่อน ไม่เว้นว่าง ต้องปกครองลูกวัด ต้องบำรุงรักษาวัด ต้องเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน นิมนต์ไปทำกิจทั้งงานขึ้นบ้านใหม่ แต่งงานจนกระทั่งสวดศพ เรียกว่าต้องเกี่ยวข้องกับชาวบ้านตั้งแต่เกิดจนตายทีเดียว
โดยเฉพาะงานการบูรณปฏิสังขรณ์ หรือการก่อสร้างนั้น ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้พ้นไปได้เลยจริงๆ ถ้าทอดทิ้งวัดวาอารามทรุดโทรมไป เขาก็พูดว่า ยุคสมัยนี้วัดทรุดโทรมไปเพราะสมภารเจ้าวัดไม่เก่ง หรือไม่เอาธุระในการบริหารวัด แต่ถ้าหากว่าสมภารเจ้าวัด องค์ใดมุ่งทางการก่อสร้างมากไป โดยทำการเรี่ยไรชาวบ้านให้เดือดร้อน คนก็จะนินทาว่าร้ายเอาอีกเหมือนกัน สมภารเจ้าวัดที่ดีมีคนนิยมนับถือ จึงต้องเดินสายกลาง คือ การก่อสร้างโดยไม่เรี่ยไรให้ชาวบ้านเดือดร้อน สมภารองค์ใดจะเดินสายกลางนี้ได้เพียงใดนั้น เราก็ทราบๆ กันอยู่ทั่วไป
แต่หลวงพ่อเงินนั้น ท่านเดินสายกลางได้อย่างดี คือ ท่านทำการก่อสร้างได้เรื่อยมา แต่ก็ไม่ปรากฏว่าท่านทำการเรี่ยไรบอกบุญใครเลยไม่เคยออกฎีกาบอกบุญชาวบ้าน ไม่เคยแม้แต่จะออกปากขอให้ใครบริจาคเงินสร้างอะไรเลย แต่ก็น่าแปลกที่มีคนออกเงินให้ท่านทำการก่อสร้างได้มาตลอด ไม่เคยขาดสายเลย และที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านไม่เคยแตะต้องเงิน ไม่เคยเก็บเงินเองเลย ท่านรู้แต่จำนวนเงินที่มีอยู่ รู้แต่จำนวนค่าใช้จ่าย การเก็บเงิน การจ่ายเงิน การจัดซื้อการจัดจ้าง เป็นหน้าที่ของผู้อื่นทั้งสิ้น หลวงพ่อเงินจึงไม่มีราคีมัวหมองด้วยเงินเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านชื่อเงิน นี่คือเรื่องแปลกประหลาดมาก
เมื่อ พ.. 2480 หลวงพ่อเงินได้เริ่มงานก่อสร้างอุโบสถ เป็นตึกคอนกรีต ราคาค่าก่อสร้างเป็นเงินถึง 1 ล้านบาทเศษ สมัยเงินแพง ถ้าคิดถึงค่าเงินในปัจจุบันนี้ (.. 2529) ก็คงตกราว 100 ล้านบาท
ในการก่อสร้างนี้ ชาวบ้านที่มีเงินก็บริจาคเงินตามกำลังฐานะ และกำลังศรัทธาของตน แต่ดูเหมือนว่าจะออกเงินบริจาคกันทุกคนทุกบ้านเรือน ด้วยความเต็มใจศรัทธา อยากจะทำบุญกับหลวงพ่อ อยากจะหว่านพืชลงในนาดีอย่างหลวงพ่อ ถึงแก่คิดกับพูดกันว่า
"ใครไม่ได้ทำบุญ กับหลวงพ่อในการสร้างโบสถ์ครั้งนี้แล้ว ก็จะเสียใจไปจนตายที่ได้ร่วมบุญร่วมกุศล เป็นญาติ กับหลวงพ่อ"
เงินทองจึงได้มาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย ออกเงินแล้วก็ไม่พอ ยังออกแรงไปช่วยกันขุดอิฐจากเจดีย์เก่าที่เนินพระ ซึ่งอยู่ห่างวัดไปประมาณ 10 เส้นเศษ ได้ขุดจากบริเวณที่ห่างจากตัวเจดีย์ เพื่อจะเอาอิฐมาถมพื้นฐานสร้างโบสถ์ ในการขุดครั้งนี้ได้พบพระพุทธรูปเนื้อโลหะ ปางปฐมเทศนาสูงประมาณศอกเศษ รูปทรงสวยงามหาที่ตำหนิมิได้ พบรูปกวางหมอบเหลียวหลัง สร้างด้วยหินสีเขียว พบสิ่งแกะสลักเป็นรูปกนกลายไทย พบรูปเสมาธรรมจักร พบพระพิมพ์ขนาดใหญ่แปดเหลี่ยม เนื้อหินสีเขียวตัวเสมาสลักลวดลายสวยงาม ชาวบ้านมีความหวาดเกรงในการขุดซากวัดเก่าแก่เช่นนั้น หลวงพ่อจึงถือโอกาสอธิบายให้ชาวบ้านฟังว่า
"รูปกวางหมอบและเสมาธรรมจักรนี้ เกิดขึ้นภายหลังที่พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ชาวอินเดียแคว้นคันธารราษฎร์ ได้สร้างขึ้นเป็นที่เคารพแทนองค์พระพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้ได้เทศนาสั่งสอนปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ มหานามะ ภัททิยะ อัสสชิ เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ก่อนพระพุทธศักราช 45 ปี ที่ตำบลมฤคทายวัน เมืองพาราณสี บัดนี้เรียกว่าตำบลสารนาท การเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าครั้งนั้นเรียกว่า แสดงพระธรรมจักกัปปวัตนสูตร แปลว่า พระธรรมได้หมุนไปในโลกเหมือนล้อเกวียน หรือล้อรถพระธรรมจักรหมายถึงการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกนั้นคือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เรียกว่าวัน พระธรรม"
นี่คือตัวอย่างการเทศนาอย่างง่าย ๆ ปราศจากพิธีรีตอง ถูกต้องกับกาลเทศะ ของหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า
"เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่มาสู่เมืองไทย ก็ได้มาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองนครปฐม ตั้งแต่พระปฐมเจดีย์ลงมายังตำบลดอนยายหอม ด้วยตั้งแต่ครั้งกระโน้นเป็นเมืองชายทะเลเมืองนครปฐมเป็นเมืองอิสระเมืองหนึ่ง มีเจ้าปกครอง จึงมีการสร้างพระเจดีย์ สร้างพระธรรมจักรสร้างพระพุทธรูปขึ้น
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ครั้งพญากง ครองเมืองนครปฐม มีบุตรชื่อพญาพาน เมื่อเกิดมาโหรทำนายว่าจะฆ่าพ่อ พญากงจึงลอยแพไปตามลำแม่น้ำ ไปติดอยู่ที่หน้าบ้านของยายหอม ที่ตำบลนี้ยายหอมจึงเลี้ยงไว้ เติบโตขึ้นได้เรียนวิชามีความรู้ ได้เป็นทหารเมืองราชบุรี ได้ยกทัพมาตีเมืองนครปฐม ฆ่าพญากงตาย แล้วเข้าหามารดาคือมเหสีพญากง จะเอาทำภรรยา มารดาจำตำหนิได้จึงร้องบอก พญาพานไม่เชื่อ ไปสอบถามยายหอม ยายหอมก็บอกความจริงให้ฟัง พญาพานโกรธที่ยายหอมปิดบังไว้ จนต้องทำบาปฆ่าบิดาตาย โมโหหน้ามืดขึ้นมาจึงฆ่ายายหอมตายไปอีกคนหนึ่ง ภายหลังพญาพานได้พบพระอรหันต์ที่เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้สารภาพบาปที่ฆ่าบิดา และฆ่าแม่เลี้ยงตาย พระอรหันต์แนะนำให้สร้างพระเจดีย์สูงเท่านกเขาเหิน เพื่อล้างบาปกรรม เมื่อเจดีย์ราบลงเป็นหน้ากลองเมื่อใด พญาพานก็จะสิ้นเวรกรรม พญาพานจึงให้สร้างเจดีย์ไว้ 2 แห่ง แห่งหนึ่งที่เมืองนครปฐม เพื่อเป็นที่ระลึกและทดแทนคุณบิดา องค์หนึ่งสร้างที่ดอนยายหอม เพื่อระลึกถึงและทดแทนคุณยายหอม แล้วสร้างถนนจากนครปฐมไปสู่ตำบลดอนยายหอมด้วยเจดีย์ทั้ง 2 องค์ และยังมีอยู่จนทุกวันนี้ บ้านดอนยายหอมนี้เคยเป็นบ้าน เป็นเมือง มีวัดวาอารามเจริญรุ่งเรืองมาก่อน"
คำเทศนาของหลวงพ่อเงินนี้ ทำให้ชาวบ้านชาวตำบลดอนยายหอมปลื้มเปรม อิ่มอกอิ่มใจเพราะตรงกับตำนานที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันสืบ ๆ มา แล้วหลวงพ่อเงินก็มาเล่าซ้ำให้แลเห็นจริงจัง มีพยานหลักฐานยืนยัน คือเป็นพระเจดีย์ พระพุทธรูป เสมาธรรมจักร และกวางหมอบเป็นสักขีพยานอยู่ ไม่ใช่นิทานที่เล่าลือกันอย่างเลื่อนลอย หลวงพ่อได้ให้ชาวบ้านขนเอาพระพุทธรูปเสมาธรรมจักร และกวางหมอบ มาไว้ที่วัดดอนยายหอม อิฐก็ขนเอามาสร้างอุโบสถคราวนั้นด้วย
หลวงพ่อทำการก่อสร้างโบสถ์หลังใหม่มาตั้งแต่ปี พ.. 2480 สร้างเรื่อย ๆ มาตามกำลังเงิน กำลังแรง และกำลังศรัทธาของชาวบ้าน จนถึงปี พ.. 2492 ถึงสำเร็จเรียบร้อยใช้เวลาสร้างถึง 12 ปีเต็ม จึงได้กำหนดให้มีงานผูกพัทธสีมา ปิดทองลูกนิมิตขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.. 2492 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ในงานนี้ผู้เขียนได้มีบุญไปปิดทองลูกนิมิตในงานนี้ด้วย ผู้คนหลามไหลเนืองแน่นเหมือนน้ำไหลบ่าในฤดูน้ำหลาก บุคคลสำคัญที่เป็นประธานจัดงานครั้งนี้คือ พันเอกช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น ท่านรัฐมนตรีผู้นี้นอกจากเป็นประธานในงานฝังลูกนิมิตวัดดอนยายหอมนี้แล้ว ยังได้สร้างพระประธาน ในอุโบสถวัดทัพหลวง ตำบลปีนเกลียวอีกวัดหนึ่ง เพราะท่านชอบคำว่า "ทัพหลวง"
ในงานฝังลูกนิมิตวัดดอนยายหอมนี้ หลวงพ่อเงินได้สร้างพระพุทธรูปองค์น้อย ขนาด 1 ซม. ขึ้นแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ไปทำบุญด้วย หล่อด้วยทองเหลืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือนแก้ว หมายถึงพระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ในพระนิพพานเมืองแก้ว นับเป็นพระพุทธรูป หรือพระเครื่องรุ่นที่ 4 ที่หลวงพ่อสร้างขึ้น สร้างจากเศษทองเหลืองที่ชาวบ้านนำเอาขันทองเหลือง พานทองเหลือง เอามาถวายหลวงพ่อให้สร้างพระประธานในอุโบสถ เหลือเศษก็เอามาหล่อเป็นพระเครื่องรุ่นนี้ พระเครื่องรุ่นนี้จึงมีผู้นิยมกันมาก เพราะสร้างด้วยวัตถุทานอันบริสุทธิ์ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ และพิธีกรรมอันบริสุทธิ์ ผู้สร้างก็มีศีลบริสุทธิ์ ผู้ร่วมสร้างก็มีศีลอันบริสุทธิ์ หลวงพ่อได้ควบคุมการหล่อเอง และทำพิธีพุทธาภิเษกในอุโบสถวัดดอนยายหอมนั้นด้วย
พระเครื่องรุ่นนี้มีจำนวนน้อย ผู้เขียนก็ได้รับแจกมาองค์หนึ่ง ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกจนกระทั่งบัดนี้ เป็นเวลา 36 ปีแล้ว
พระเครื่องรุ่นนี้เป็นที่นิยมแสวงหากันมากจนกระทั่งบัดนี้มีผู้ทำปลอมขึ้นจำหน่ายในตลาดพระเครื่อง แต่ผู้ชำนาญย่อมดูออกว่า พระแท้ หรือพระปลอมที่มีคนทำพระเครื่องรุ่นนี้ปลอม ก็เหมือนพิมพ์แบงค์ปลอมนั่นแหละ คือเขาเห็นว่ามีค่า มีคนต้องการมาก เขาจึงทำปลอมขึ้นเพื่อจำหน่ายเอาเงิน เป็นพุทธพาณิชย์ชนิดปลอมแปลงสินค้า ถ้าหากไม่มีค่า ไม่มีคนต้องการ เขาก็คงไม่ทำปลอมขึ้นจำหน่าย
-(ตัด)เรื่องของหลวงพ่อเงินจะมีเรื่องเกี่ยวกับพระเครื่องหรืออภินิหารหรือประสบการณ์เกี่ยวกับพระเครื่องอะไรทำนองนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าท่านใดไม่สนใจก็ไม่จำเป็นต้องรับมาพิจารณาก็ได้นะครับ หรือถ้าผู้ดูแลเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสมก็แจ้งเตือนมาได้ แล้วผมจะข้ามไปโดยยกมาแต่เนื้อหาที่ดีๆ ครับ
อ่านเรื่องราวของท่านแล้ว จะทำให้เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของพระได้ดีและละเอียดมากขึ้น ดังนั้นเวลาเจอพระท่านทำอะไร ซึ่งบางท่านอาจจะไม่ชอบใจ ก็อย่าพึ่งด่วนตัดสินว่าไม่ดีไปซะก่อนนะครับ บางทีท่านอาจจะมีเหตุผลก็ได้ครับ
ป.ล. คือบางเรื่องถ้าเรามองผิวเผินจะนึกว่าพระบางท่านทำผิดพระธรรมวินัย แต่ถ้าศึกษาให้ละเอียดเจาะลึกลงไปบางอย่าง ก็มีข้อยกเว้นและต้องดูที่เจตนา ซึ่งเมื่อพิจารณาตรงนั้นแล้ว ก็จะเห็นว่าจริงๆ แล้วท่านก็ไม่ได้ทำผิดพระธรรมวินัยแต่อย่างใด ท่านยังเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอยู่ครับ

(แต่ถ้าเป็นโดยส่วนตัวแล้ว ผมจะค่อนข้างศรัทธาพระในสายของหลวงปู่มั่นมาก เพราะลูกศิษย์ของท่านส่วนใหญ่ เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริงๆ แต่เรื่องราวของท่านใด ที่มีเนื้อหาหรือแง่มุมที่น่าสนใจ ผมก็จะพยายามนำมาลงเสนอเพื่อให้ทุกท่านได้ทราบเรื่องราวที่ดีมีประโยชน์ ดังเช่นที่ผมได้พบเห็นมาเช่นกันครับ)

(โปรดติดตามตอนต่อไป)