วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๒๑ ตั้งสัตยาธิษฐาน


๒๑.ตั้งสัตยาธิษฐาน 
เมื่อหลวงพ่อสร้างอุโบสถคอนกรีต ราคาล้านเสร็จแล้ว ก็สร้างพระประธาน ประจำอุโบสถ เมื่อสร้างพระประธานเสร็จแล้ว หลวงพ่อก็มารำพึงว่า พระปฏิมากรแทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นี้ ก็สร้างให้มหาชนเคารพบูชาแทนองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงอยากจะได้นิลมาทำพระเนตรของพระประธานสัก 2 ดวง แต่จะได้มาจากไหนเล่า ?
วันหนึ่งหลวงพ่อจึงได้เข้าไปในอุโบสถ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วหลวงพ่อก็ตั้งสัตยาธิษฐาน เสี่ยงบารมีว่า
"ข้าพเจ้า อุตส่าห์บวชอุทิศชีวิตอยู่ในพระศาสนา ก็ด้วยเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า
ข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่งอื่น นอกจากพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า
ข้าพเจ้าสร้างอุโบสถขึ้นไว้ เป็นปูชนียสถานในพระพุทธศาสนา
ข้าพเจ้าสร้างพระปฏิมากรไว้สักการบูชาของมหาชน
ข้าพเจ้าปรารถนาจะได้นิลมาทำพระเนตรของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่เคารพเลื่อมใสของมหาชน
ด้วยสัจจวาจานี้ ถ้าหากบุญวาสนาบารมีของข้าพเจ้ามีอยู่ ถ้าหากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แห่งพระพุทธานุภาพมีอยู่จริง ขอให้ได้นิลมณีมาทำพระเนตรสมความประสงค์ด้วยเถิด"
วันต่อมามีคน 2 คน เดินทางมาจากทางภาคเหนือมาหาหลวงพ่อ นำเอานิลเม็ดโตมา 2 เม็ด เอามาถวายหลวงพ่อว่า หลวงพ่อจะเอาไว้สร้างอะไรก็ตามใจเถิด แล้วเขาก็ลาจากไป
หลวงพ่อจึงได้นิลมณี 2 เม็ด มาทำพระเนตรพระประธานสมความปรารถนา
ครั้นแล้ว หลวงพ่อก็มานั่งพิจารณาพระประธานว่า อุตส่าห์สร้างไว้สวยงามยิ่งนัก นึกอยากได้นิลมณีมาทำพระเนตรก็ได้มาแล้ว ถ้าหากว่าได้พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ในพระเกศด้วย ก็จะเป็นปูชนียวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ น่าเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง
หลวงพ่อคิดดังนั้นแล้วก็จุดธูปเทียนบูชาแล้วก็ตั้งจิตเจตนา สัตยาธิษฐานเสี่ยงบุญบารมีอีกครั้งหนึ่ง
รุ่งขึ้นก็มีคนมาหาหลวงพ่อ ขอนิมนต์หลวงพ่อไปดูอุบาสกคนหนึ่ง ว่าป่วยปวดหัวเข่า ทนไม่ไหว ขอให้หลวงพ่อไปช่วยเป่าให้ทีเถิด หลวงพ่อก็ไปที่บ้านอุบาสกคนนั้น ซึ่งเป็นชายชรา อายุ 70 ปีเศษ นอนอยู่ หลวงพ่อจึงเข้าไปดู เห็นหัวเข่าบวมอยู่ จึงไต่ถามอาการ เขาก็บอกหลวงพ่อว่า
เมื่อคืนก่อนเขานอนฝันว่า พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าเข้าไปอยู่ในหัวเข่า ตื่นขึ้นมาก็ปวดเข่ามาก มีอาการบวม ขอให้หลวงพ่อเป่าให้ด้วย
หลวงพ่อถามว่า พระบรมธาตุจากที่ไหนมาเข้าอยู่ในหัวเข่า
เขาตอบว่า เขามีพระธาตุบูชาอยู่บนหิ้งในบ้านนี้เอง
หลวงพ่อจึงตั้งจิตอธิษฐาน แล้วอ่านโองการเป่าหัวเข่าของเขาให้
ต่อมาอีกวันหนึ่ง หลวงพ่อก็ไปเยี่ยมอาการป่วยของเขา ด้วยเมตตาจิตตามปกติวิสัยของหลวงพ่อ
เขาบอกว่า หัวเข่าหายบวมแล้ว หายปวดแล้ว
"พระบรมธาตุคงไม่อยากอยู่กับผมแล้ว ผมขอถวายหลวงพ่อไปด้วย" เขาบอก
แล้วเขาก็ไปเอาพระบรมธาตุมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อตรวจดูก็ทราบว่า เป็นพระบรมธาตุแท้ มีลักษณะตามตำราพระบรมสารีริกธาตุ
หลวงพ่อจึงได้พระบรมธาตุนั้นมาบรรจุไว้ในพระเกศของพระพุทธรูปประธานในอุโบสถ สมความปรารถนา
วันหนึ่งพบหลวงพ่อ ผู้เขียนจึงถามหลวงพ่อว่า
"แรงอธิษฐานมีจริงหรือ ?"
"จริงหลวงพ่อตอบหนักแน่น
"แต่การอธิษฐานนั้น ต้องตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของความสัตย์ความจริง เป็นพื้นฐานแผ่นศิลาเมื่อเอามีดขีดลงไปย่อมมีรอย ถ้าไม่มีพื้นฐานความจริงรองรับก็เหมือนเอามีดขีดลงไปบนพื้นน้ำย่อมไม่เกิดรอย...."
ความจริงนั้น เรื่องการตั้งสัตยาธิษฐานนี้ เป็นพุทธประเพณีในพระพุทธศาสนา คนไทยนับถือปฏิบัติมาช้านานแล้ว มีเรื่องปรากฏอยู่มากมาย
พระพุทธเจ้า เมื่อก่อนวันตรัสรู้ได้รับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาใส่ถาดทองมาถวาย พระพุทธองค์ฉันแล้วก็ลอยถาดในแม่น้ำเนรัญชรา ตั้งสัตยาธิษฐานว่า
"ถ้าจะได้ตรัสรู้พระธรรมาภิเศกสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำ..."
ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำได้อย่างอัศจรรย์ พระพุทธองค์จึงทรงนั่งประทับใต้ต้นโพธิบัลลังก์ ก็อธิษฐานว่า ถ้ามิได้ตรัสรู้จะไม่ยอมลุกขึ้นจากโพธิบัลลังก์นี้เป็นอันขาด
ครั้นแล้วในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ปีระกา ก็สำเร็จพระโพธิญาณ
พระเจ้าตากก็เสี่ยงบารมีหลายครั้ง ยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ ฝนแล้ง ก็เสี่ยงบารมีให้ฝนตกจนขอนลอยในป่า เข้าตีเมืองจันท์ก็เสี่ยงบารมีทุบหม้อข้าวหม้อแกงหมด ไปตีเมืองนครก็ตั้งศาลเพียงตาเสี่ยงบารมีเมื่อเกิดพายุใหญ่ จนพายุเงียบสงบ
พระยาสุริยอภัย ก็เสี่ยงบารมีเมื่อเพลิงไหม้ ขอให้ลมพัดหอบกลับเมื่อปราบกองทัพพระยาสรรค์บุรี สมัยกรุงธนบุรี ในรัชกาลที่ 1 เป็นกรมพระอนุรักษ์เทเวศ (ทองอินทร์)
แต่ผู้เสี่ยงบารมี จะต้องเชื่อมั่นว่าตนมีบารมีอันได้สั่งสมมา จะต้องอ้างเอาความสัตย์ความจริงมาตั้งลงเป็นฐานก่อนเสมอ ท่านจึงเรียกว่า "สัตยาธิษฐาน" (เอาความสัตย์เป็นฐานอันยิ่ง)
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเสี่ยงพระบารมี เมื่อคราวตั้งธรรมยุติกนิกายว่าขอให้พบพระอาจารย์ดีใน 3 วัน 7 วัน
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ก็ทรงเสี่ยงพระบารมีเมื่อจะทรงผนวชว่า ถ้าพระองค์จะได้ทรงผนวช ก็ขอให้สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ หายประชวร เพื่อจะให้พระองค์เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระสังฆราชก็หายประชวร มานั่งเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ สมคำอธิษฐาน.

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๒๐ พระโพธิสัตว์

๒๐. พระโพธิสัตว์
วันหนึ่งผู้เขียนไปหาท่าน คุย ๆ ไปท่านก็แบมือให้ดูพูดว่า
"ดูมือฉันสิ มันแปลก ไม่มีข้อ"
ข้าพเจ้ามองดูก็แปลกใจเพราะไม่มีข้อพับ คือไม่มีรอยเป็นของพับเหมือนมือคนทั่ว ๆ ไป มันลื่นไปเหมือนลำเทียนอย่างนั้นแหละ
"เขาว่าลักษณะมือเหมือนพระโพธิสัตว์มาบำเพ็ญบารมี" หลวงพ่อพูด แล้วก็ยิ้ม มองตาข้าพเจ้าเป็นประกาย
ฟังดูเหมือนว่าหลวงพ่อเชื่อว่า ตัวท่านคือพระโพธิสัตว์ เกิดมาสร้างบารมี เพื่อบรรลุอรหันต์สัมมาสัมโพธิญาณ อย่างที่พระเจ้าตากสินท่านก็เคยตรัสว่า "ถ้าจะได้ตรัสพระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณ ขอให้ขว้างค้อนไปถูกเฉพาะระฆัง แล้วจะเอาไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ"
เมื่อท่านขว้างค้อนไปถูกตรงนั้นจริง ๆ ต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ ท่านก็ยิ่งเชื่อมั่นว่า ท่านนั้นคือพระโพธิสัตว์เกิดมาสร้างพระบารมี ท่านจึงบำเพ็ญพระจริยาวัตร เป็นพระโพธิสัตว์อยู่ตลอดพระชนม์ชีพ ขอให้ไปอ่านพระราชพงศาวดารดูเถิด
อันที่จริง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย ที่หลวงพ่อเงินเชื่อว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อุบัติเกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพราะพระพุทธศาสนานิกายพระโพธิสัตว์นี้ คือ นิกายดั้งเดิม ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ และทรงเน้นไว้มากด้วย ทรงเล่าว่าพระพุทธองค์ก็เคยเกิดเป็น พระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีมาแล้วหลายร้อยชาติ เคยเกิดมาในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ แม้ชาติใหญ่ ๆ 10 ชาติ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีทั้งสิ้น คือ
1. พระเตมีย์
(เต)
บำเพ็ญ
เนกขัมมะบารมี
(เน)
2. พระมหาชนก
(ชะ)
"
วิริยะบารมี
(วิ)
3. พระสุวรรณสาม
(สุ)
"
เมตตาบารมี
(เม)
4. พระเนมิราช
(เน)
"
อธิษฐานบารมี
(อะ)
5. พระมโหสถ
(มะ)
"
ปัญญาบารมี
(ปะ)
6. พระภูริทัต
(ภู)
"
ศีลบารมี
(สิ)
7. พระจันทกุมาร
(จะ)
"
ขันติบารมี
(ขะ)
8. พระนารท
(นา)
"
อุเบกขาบารมี
(อุ)
9. พระวิฑูรบัณฑิต
(วิ)
"
สัจจะบารมี
(สะ)
10. พระเวสสันดร
(เว)
"
ทานบารมี
(ทา)
ทั้ง 10 ชาติ 100 ชาติ 500 ชาติ ที่เคยอุบัติเกิดมาตั้งแต่สัตว์น้อย ๆ ขนาดนกกระจาบ ถึงสัตว์ใหญ่ เป็นช้างฉัททันต์ ล้วนแต่ทรงเกิดมาบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ 30 ทัศ ทั้งสิ้น
พุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย แต่โบราณกาลมา ก็เน้นเรื่องนิกายพระโพธิสัตว์นี้ ขอให้ไปอ่านดู เรื่องไตรภูมิพระร่วงก็ดี พระมาลัยเทพสูตรก็ดี พระปฐมสมโพธิคาถาก็ดี ล้วนแต่ย้ำและเน้นเรื่องพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น
คือสอนเน้นย้ำว่า ชีวิตไม่ได้ตายแล้วสูญ ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลง เมื่อตายร่างกายแตกดับตอนเข้าโลงเท่านั้น ยังมีชีวิตสืบต่อไปเกิดในชาติ ภพหน้า ภูมิหน้า โลกหน้าอีก ไม่รู้จักสิ้นสุด
ชีวิตชาตินี้ เกิดมาจากผลบุญผลกรรมที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน
ชีวิตชาติหน้า เกิดจากผลกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ คนจะไปเกิดดีเกิดชั่วอย่างไร ก็อยู่ที่ผลกรรมในชาตินี้ ผลบุญในชีวิตนี้ คนเกิดมาใช้กรรมเก่า เกิดมากินบุญเก่า
ทุกคนจึงเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ถ้าตั้งใจปรารถนา ตั้งปณิธานว่า จะเกิดมาเพื่อ บำเพ็ญบารมี 10 ประการคือ
1. ทานบารมี         บำเพ็ญทาน
2. ศีลบารมี           สมาทานศีล
3. เนกขัมมบารมี    ออกบวช
4. ปัญญาบารมี      ทำวิปัสสนาภาวนา
5. วิริยบารมี          พากเพียรบำเพ็ญตบะ
6. ขันติบารมี         อดทน อดกลั้นอย่างยิ่ง
7. สัจจบารมี          ถือสัจจะ
8. อธิษฐานบารมี    ตั้งใจมั่นยิ่ง ไม่ยอมถอย
9. เมตตาบารมี       มีเมตตาต่อสรรพสัตว์
10. อุเบกขาบารมี     ทำใจเป็นกลางในสิ่งทั้งปวง
แม้พระเจ้าตากสินมหาราช
แม้พระพุทธยอดฟ้ามหาราช
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ท่านก็คือพระองค์ผู้ทรงเชื่อมั่นด้วยศรัทธาว่าพระองค์คือพระโพธิสัตว์อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี ในชาติสุดท้ายจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณ
ขอให้ไปศึกษาพระราชพงศาวดารดูลึก ๆ ศึกษาพระราชโองการ พระราชดำรัส พระราชจริยาวัตรดูเถิด ท่านล้วนแต่บำเพ็ญบารมี 10ประการทั้งสิ้น
ท่านมิได้เคยคิดว่าชีวิตของท่าน จะสิ้นสุดลงเมื่อสวรรคตเท่านั้น ท่านเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ชีวิตของพระองค์ท่านยังต้องเวียนว่ายกลับมาเกิดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ท่านทราบว่าพระพุทธเจ้าในอดีตมีมากมายหลายพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงออกพระนามไว้ก็มีอยู่ถึง 28 พระองค์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสร้างพระพุทธรูปประธานไว้ในโบสถ์วัดอัปสรสวรรค์ถึง 28 องค์   นี่คือพระพุทธศาสนานิกายพระโพธิสัตว์ที่เป็นนิกายสยามวงศ์ มาแต่สมัยกรุงสุโขทัย
พึ่งจะมาจืดจางไปก็สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรมในประเทศไทย ทำให้พระพุทธศาสนานิกายพระโพธิสัตว์ของสยามผันแปรไปในหมู่นักศึกษาพระปริยัติธรรม
แต่ในหมู่พระนักปฏิบัติและชาวบ้านทั่วไปยังไม่จืดจาง ยังเชื่อมั่นกันอยู่ในหมู่พุทธศานิกชนทั่วไป
เพราะถ้าถือลัทธิสุญญตา ชีวิตสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเมื่อตายแล้ว ก็เลิกนับถือพุทธศาสนากันได้ หันไปนับถือลัทธิฮินดูกันดีกว่า เพราะลัทธิฮินดูก็ยังมีสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตสุดท้ายเป็นอมตะ คือไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ ซึ่งเป็นอมตะ
ความจริงพระนิพพานของพุทธศาสนา ก็คือพระอมตมหานิพพาน แปลว่า "พระนิพพานอันเป็นอมตะอย่างยิ่ง" ท่านไม่ว่านิพพานสูญอะไรเลย แปลกันไปอย่างเพ้อเจ้อตามประสาจินตนาการเอาเอง โดยไม่เชื่อคำตรัสของพระบรมศาสดาแท้ ๆ ว่า "พระนิพพานดับไม่เหลือ..."   ผู้เขียนเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเงิน จึงเชื่อลัทธินิกายพระโพธิสัตว์
ผู้เขียน เชื่อว่า พระนิพพาน คือ "ว่างจากเบญจขันธ์" คือ ว่างจาก รูปเวทนาสัญญาสังขาร 4 ขันธ์ แต่ยังมีวิญญาณขันธ์ คือว่างจากรูป แต่ไม่ว่างจากนาม ว่างจากสสาร ไม่ว่างพลังงาน พลังงานยังมีอยู่คู่โลกธาตุนี้.
ผู้เขียนนับถือพระคาถาของหลวงปู่ทวดที่ว่า
"นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา"
ผู้เขียนเชื่อพระคาถาของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณที่ท่องภาวนาว่า
"นะโมโพธิญาโณ ปณิธานะโต โหตุ สัพพะทา"
ผู้เขียนเชื่อถือพระคาถาของฝ่ายมหายานที่ว่า
"นะโม โพธิสัตโตมหาสัตโต อะวะโลกิเตศวร"
ใครนับถือพระพุทธศาสนาลัทธินิกายพระโพธิสัตว์ก็จงท่องภาวนาคาถาข้างบนนี้เถิด
ท่านจะไปเกิดใหม่ เป็นพระโพธิสัตว์ มีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการสั่งสมบารมี ก็จะเกิดภพภูมิที่ดี มีความสุข ไม่ถูกข่มเหงรังแก ให้ได้ความคับแค้น ยากเข็ญในชีวิต
ตามประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสีนั้น ท่านเล่ากันว่า มีหมอนวดฝีมือดีคนหนึ่งไปนวดท่าน นวด ๆ ไปก็คลำพบว่า กระดูกแขนท่อนล่างของท่านนั้น มีชิ้นเดียว ไม่มีกระดูก 2 ชิ้นคู่เหมือนกระดูกแขนของคนทั่วไป หมอนวดคนนั้นจึงจับขย้ำอยู่นาน จะถามท่านก็ไม่กล้าถาม
สมเด็จท่านจึงถามว่า "เป็นหมอนวดมากี่ปี ?"
"สิบกว่าปีแล้ว !" หมอนวดตอบ
"เคยเห็นคนมีกระดูกแขนชิ้นเดียวมั้ย ?" สมเด็จถาม
"ไม่เคยพบเลย"
"ถ้าพบก็จงรู้เถิดว่า นั่นแหละคือพระโพธิสัตว์มาบำเพ็ญบารมี"
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตท่านก็เชื่อว่า ตัวท่านคือพระโพธิสัตว์อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี เป็นที่พึ่งแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
หลวงพ่อเงินท่านไม่มีรอยข้อพับที่นิ้วมือ นิ้วมือลื่นไปตลอดเหมือนลำเทียน ท่านจึงเชื่อว่าท่านคือพระโพธิสัตว์ อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งปวง
ข้าพเจ้าเคยเห็นข้อนิ้วมือของหลวงพ่อเงิน ไม่มีรอยพับนิ้วมือเรียบเหมือนลำเทียน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่๑๙ ตอนคาถาศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ?

๑๙. คาถาศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ ?
นายชื่น ทักษิณานุกูล เล่าว่า เคยถามหลวงพ่อเป็นส่วนตัวว่า
"คาถาอาคมเป็นเรื่องนอกพระพุทธศาสนาหรือไม่"
หลวงพ่อตอบว่า
"ไม่ขัดกับพระพุทธศาสนา เพราะคาถาที่ใช้คือพระพุทธมนต์ ขึ้นว่า 'นะโม' ไม่ได้ขึ้นต้นว่า 'โอม' อันหมายถึง พระเจ้าทั้ง 3 ในศาสนาพราหมณ์ คือ พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร"
ถึงแม้จะมีคาถาบางบทขึ้นว่า โอม ก็หมายถึง อะ-อุ-มะ ของพุทธศาสนา คือ อะ หมายถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุ หมายถึง อุตมธรรม และ มะ หมายถึง มหาสงฆ์ คือพระรัตนตรัย..."
"คาถามีไว้สำหรับภาวนา ให้จิตเกิดเป็นสมาธิ เมื่อจิตเกิดเป็นสมาธิ เป็นเอกัคคตา คือ เป็นหนึ่งอย่างยิ่งแล้ว ย่อมเกิดมีพลังแรง เมื่อจิตมีพลังแรงแล้วย่อมเกิดอิทธิฤทธิ์อำนาจ แล้วใช้อำนาจจิตได้ตามความปรารถนา..."
"ในเรื่องอำนาจทางจิตก็มีกล่าวไว้ในเรื่อง อภิญญา 6 ประการ คือ ญาณอันยิ่งหรือ วิชชา 8 ประการ ในพระพุทธศาสนา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ก็เพราะมีอภิญญา มีวิชชา 8 ประการ..."
อันที่จริง ปัจจุบันนี้ ผู้ได้ศึกษาเรื่องอำนาจของจิต ไม่มีใครสงสัยอะไรในอำนาจของจิตต่อไปแล้ว รวมทั้งพระสุปฏิปันโน พระนักปฏิบัติ ก็ไม่มีใครสงสัยแคลงใจในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะพระอริยบุคคล ย่อมมี "อุตริมนุสธรรม" คือ ธรรมอันเหนือมนุษย์สามัญ เพียงแต่ว่าพระพุทธองค์มิให้อวดอุตริมนุสธรรมเท่านั้น (มีได้แต่ห้ามอวด)
เขาว่าดีนัก
ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะได้สร้างพระเครื่องขึ้นมาแล้วหลายรุ่น แต่หลวงพ่อก็สร้างขึ้นด้วยเจตนาดี ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีเมตตาตั้งใจจะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นภัย พ้นทุกข์ มีที่พึ่งทางใจ อันจะแลเห็นได้เป็นวัตถุ ตามประสาปุถุชน ซึ่งยังมีทุกข์ และต้องการที่พึ่ง เพราะว่าเพียงแต่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ หรือพระธรรมในคัมภีร์ทั้ง 7 คัมภีร์ หรือพระสงฆ์ที่นุ่งห่มเหลืองอร่ามเห็นอยู่ตามวัดทั่วไป ก็ไม่สามารถจะช่วยทุกข์
อันว่า ทุกข์ก็ดี ภัยก็ดี โรคก็ดี ทั้ง 3 อย่างนี้ย่อมจะมีประจำอยู่ เมื่อมีทุกข์ภัยมาถึงตนหรือบุตรภรรยาสามีอันเป็นที่รัก ก็ย่อมตะเกียกตะกายแสวงหาที่พึ่งด้วยกันทั้งนั้น หลวงพ่อมองไม่เห็นทางอื่น นอกจากจะต้องทำตัว หรือสร้างเครื่องสื่อสาร อันเป็นวัตถุสำหรับให้เขาใช้เป็นที่พึ่ง อันจะแลเห็นได้ จับต้องได้ ลูบคลำได้ พกติดตัวได้ และถ้าเขายึดเอาเป็นที่พึ่งจริง ๆ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจริง ๆ แล้ว ก็เป็นที่พึ่งได้จริง ๆ ด้วย
เรื่องนี้ย่อมเป็น "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ" คือ รู้เห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ด้วยอาศัยการบอกเล่าของคนอื่น ต้องประสบด้วยจิตใจของตนเอง จึงจะเกิดความศรัทธามั่นใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลวงพ่อจะเชื่อมั่นในใจว่า พระเครื่องของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง สำหรับผู้นับถือจริง แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยคุยโอ้อวดแก่ใครเลย
อย่างมากก็เพียงแต่บอกว่า
"เขาเอาไปใช้ว่าดีนัก..."
"มีพระอยู่กับตัวนั้นดี จะได้นึกถึงพระ จิตใจจะได้เป็นพระ..."
ถ้าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อก็พูดอะไรเป็นพิเศษ เช่นพูดกับผู้เขียนว่า
"พ่อสร้างพระเมตตาไว้ ไปเอานะ..."
แม้เรื่องอภินิหาร ซึ่งหมายความว่า "อำนาจแห่งฌานสมาบัติไว้แสดงพลัง..." หลวงพ่อก็ไม่เคยพูดกับคนอื่น
ถ้าอารมณ์ดีมีโอกาสก็จะแสดงอะไรให้ศิษย์เห็น และมั่นใจ  นายชื่นเล่าว่า วันดีคืนดีหลวงพ่อก็ชวนเข้าไปในห้องสองต่อสอง ชี้ให้ดูน้ำในขวดโหล  ท่านนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง  ก็เกิดเป็นตัวกุ้งขึ้นมาเล็กๆ  เท่าเม็ดข้าวสาร  ท่านเสกข้าวสารเป็นกุ้งได้  แต่ไม่เคยแสดงให้ใครดุเลย 
เรื่องอย่างนี้ ข้าพเจ้าเคยเห็นจากพระภิกษุรูปหนึ่งอยู่วัดใหม่ศรัทธาธรรม บอกให้เอาดอกเข็มสีขาวไปให้ท่าน ท่านใส่ปากอมไว้พักหนึ่ง แล้วก็คายออกมาเป็นตะกรุด เงินดอกเล็ก ๆ ว่าตะกรุดสาลิกา ข้าพเจ้าไม่ค่อยเชื่อ นึกว่าท่านเล่นกลให้ดู แต่ก็ไม่รู้ว่าอย่างไร เห็นกับตาอย่างนั้นจริง ๆ ต่อหน้าเพื่อนครูอีก 2 คน ชื่อนายสมคิด กลันกลั่ง อีกคนหนึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดศรีศรัทธา

(โปรดติดตามตอนต่อไป)