วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๓๐ ดวงกำเนิด ดวงอุปสมบท


๓๐ ดวงกำเนิด

      หลวงพ่อเงิน  เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีขาล  พ.ศ. ๒๔๓๓  เวลาสายพระบิณฑบาตร  ตรงกับวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๓  


ดวงอุปสมบท 

     หลวงพ่อเงิน บวชเมื่อวันที่  ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓  เวลา ๑๘.๑๕ น.  ตรงกับวันพุธ  ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ 

     หลวงพ่อพูดกับลูกศิษย์ว่า 
     " ฉันก็เป็นเหล็กเมืองไทย  ขุดได้จากดินทุ่งนา  ตำบลดอนยายหอม   แต่ฉันเป็นเหล็กที่หมั่นใช้  หมั่นลับ เก็บรักษาไว้ดี    ไม่ให้มันตากแดดตากฝน จนขึ้นสนิม  ฉันจึงเป็นเหล็กที่คนใช้การได้  ไม่ใช่เป็นเหล็กวิลาศมาจากประเทศเยอรมันหรอก"


     หลวงพ่อเขียนสุภาษิตติดไว้ที่กุฎิริมที่นั่งประจำของท่าน   เป็นป้ายตัวโตๆ ว่า 

     "รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน"
     ตรงกับพุทธภาษิตว่า   "สันตุฏฐี    ปะระมัง ธะนัง"  (รู้จักพอก็เหมือนมีทรัพย์มหาศาล) 
     หลวงพ่อเป็นคนรู้จักพอดีทุกอย่าง 
     คาถาของหลวงพ่อที่บอกคนก็คือ   "สัตถา เทวมนุสสานัง"  (เป็นครุของเทวดาและมนุษย์) 
     หลวงพ่อเป็นครูของคนด้วยคำสอน   และด้วยการปฎิบัติเป็นแบบอย่างตลอดชีวิต  
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๒๙ โปรดเกล้า ฯให้เข้าเฝ้าถวายพระพร

โปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าถวายพระพร




เมื่อ พ.. 2507 หลวงพ่อได้รับนิมนต์เข้าไปสวดพระพุทธมนต์ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อเสร็จแล้วก็ออกจากวัง มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ขับรถตามมา พอทันก็ถามว่า
"หลวงพ่อเงินใช่ไหม?"
"ใช่"
"หยุดก่อน"
"อาตมาทำผิดอะไร?"
"ไม่ผิดอะไรหรอก แต่ในหลวงมีรับสั่งให้หลวงพ่อเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์"
"ไม่ดีหรอก อาตมากระเร่อกะร่าเข้าไปจะแลดูรุ่มร่าม ตะกี้พระองค์ท่านก็พบ อาตมาไม่เห็นว่าจะนิมนต์"
"ทรงระลึกได้ว่าใช่หลวงพ่อเงินหรือเปล่า พอแน่พระทัยก็รับสั่งให้กระผมมานิมนต์"
"กราบทูลท่านได้ไหมว่า จะขอเฝ้าภายหลังในโอกาสหน้า"
"ขอความเมตตาจากพระเดชพระคุณเถิด รับสั่งให้กระผมมานิมนต์หลวงพ่อ ถ้าพบหลวงพ่อแล้วนิมนต์เข้าไปเฝ้าไม่ได้ กระผมจะกราบทูลยังไง กระผมจะเสียผู้เสียคนคราวนี้เอง หลวงพ่อนึกว่าเมตตากระผมเถิด"
หลวงพ่อสงสารนายตำรวจผู้นั้น จึงยอมกลับไปเฝ้าในหลวง เมื่อทอดพระเนตรเห็นหลวงพ่อแล้ว ก็ทรงดีพระทัยมาก เสด็จเข้ามาประทับใกล้ๆ กราบนมัสการหลวงพ่อ แล้วก็ทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองมากุมมือหลวงพ่อไว้ ตรัสว่า
"ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว อยากพบหลวงพ่อ อยากรู้จักตัวหลวงพ่อมานานแล้ว"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงกราบหลวงพ่อ ทรงเรียกว่า "หลวงพ่อ" เหมือนประชาชนทั้งหลาย

นี่คือพระราชจริยาวัตรของพระบรมโพธิสัตว์ต่อพระโพธิสัตว์ ผู้อุบัติมาบำเพ็ญบารมีเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ได้พบแล้วสนทนาวิสาสะกัน.
พระเจ้าอยู่หัวคือพระบรมโพธิสัตว์
หลวงพ่อเงิน คือพระโพธิสัตว์
อุบัติมาบำเพ็ญพระทศบารมี

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๒๘ ยึดผ้าเหลืองเป็นธงชัยพระอรหันต์

๒๘. ยึดผ้าเหลืองเป็นธงชัยพระอรหันต์
หลวงพ่อ บวชอยู่ในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่อายุครบบวช เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.. 2453 จนกระทั่ง พ.. 2519 รวมเวลา 66 ปี อุทิศชีวิตอยู่ในเพศพรหมจรรย์มาโดยตลอด อย่างบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ ไม่เคยเคลื่อนไหวว่าจะสึก โดยกระทำให้ศีลด่างพร้อยมัวหมองเลย แม้แต่สิกขาบทเดียว ไม่เคยพูดถึงเรื่องลาสิกขากับใครเลย มีแต่ลั่นวาจาว่าจะบวชตลอดชีวิต ไม่เคยคิดแม้แต่สักแวบหนึ่งในใจว่าจะลาสิกขา ตั้งใจมุ่งมั่น แน่วแน่แต่จะฝากชีวิตไว้ในผ้าเหลือง ขอยึดเอาผ้าเหลืองเป็น ธงชัยพระอรหันต์
คำนี้เป็นคำโบราณ พูดกันมานานนับร้อยนับพันปี "ผ้ากาสาวพัสตร์ เป็น ธงชัยพระอรหันต์เหมือนทหารยึดเอาธงไชยเฉลิมพลเป็นที่พึ่งที่ระลึกยามเข้าสงคราม การบวชเป็นพระภิกษุนี้ ก็ต้องทำสงครามกับกิเลสตัณหา ความรู้สึกฝ่ายต่ำอยู่ตลอดเวลา คือเรื่อง ราคะ โทสะ โมหะ คนโบราณเข้าใจดี เวลาทอดกฐินเขาจึงทำธง เขียนรูปจระเข้ รูปคลื่น รูปนางมัจฉา 4 ผืนไปปักไว้หน้าวัด
1. ธงรูปจระเข้ คือเรื่องกิน จระเข้นั้นเห็นแก่กิน ตายเพราะกิน เตือนใจพระว่าอย่าเห็นแก่กินเหมือนจระเข้เข้า อย่าเอาแต่กินกับนอน
2. ธงรูปคลื่น นั้นก็คือ อารมณ์โกรธหรือโทสะเหมือนคลื่นในทะเลพัดเรือจม การบวชเป็นพระนั้น ท่านว่าเป็น "ผู้ชายพายเรืออยู่ในทะเลและมหาสมุทร ให้ระวังคลื่นลมพัดเรือจม เรือแตก จะไปไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน จะไม่ได้มรรคผล นิพพานอะไรเลย
3. ธงรูปนางมัจฉา นั้น หมายถึงราคะ หรือสตรีเพศ เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ พระภิกษุบวชอยู่ไม่ไหว ร้อนผ้าเหลืองเป็นไฟ ก็เพราะสตรี จึงให้สำรวมระวังอย่าเข้าใกล้ อย่าเผลอปล่อยกายปล่อยใจ อย่าพ่ายแพ้แก่อิตถีเพศ
4. รูปวังน้ำวน หมายถึง วัฏสงสารที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะกิเลสตัณหา อุปาทาน
ชาวบ้านสอนพระไม่ได้ เขาจึงทำธง 4 ผืนไปปักหน้าวัดเวลาทอดกฐิน เป็นประเพณีมาแต่โบราณกาล เขาปักธงไว้สอนพระ
แต่สำหรับหลวงพ่อเงิน ดูเหมือนธงทั้ง 4 ธงนี้ ไม่มีความหมายอะไรแก่ท่านเลยก็ว่าได้
เพราะท่านยึดเอาผ้าเหลืองเป็นธงชัยพระอรหันต์อยู่ในชีวิตจิตใจ ถึงแม้ว่าชาตินี้จะมีบุญวาสนาไม่สำเร็จมรรคผล เป็นพระโสดา พระสกิทาคามี พระอานาคามี หรือพระอรหันต์ แต่ก็มีผ้าเหลืองเป็นจุดมุ่งหมาย เป็นธงชัยพระอรหันต์ ที่มุ่งหมายจะบำเพ็ญสมณธรรมให้บรรลุในที่สุด ถ้าไม่บรรลุในชาตินี้ก็ขอบรรลุในชาติต่อ ๆ ไป
หลวงพ่อเงินเป็นพระมหานิกาย โดยเฉพาะก็คือ เป็นพระสงฆ์ที่เชื่อถือลัทธิพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ซึ่งเป็นความเชื่อถือสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัยแล้ว หลักฐานก็คือ หนังสือไตรภูมิพระร่วงนั่นแหละ ที่พระเจ้าลิไทยธรรมราชาแต่งขึ้น ก็แสดงความเชื่อถือเรื่อง ลัทธิพระโพธิสัตว์อย่างชัดแจ้งที่สุด
ลัทธินิกายพระโพธิสัตว์ ที่ย่อที่สุดก็คือเชื่อว่า ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อตายในชาตินี้ แต่ยังมีชีวิตสืบเนื่องต่อไปหลังความตาย จะต้องไปเกิดใหม่ในชาติหน้า จะต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในห้วงมหรรณพภพสงสารนี้ไม่รู้จักสิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุพระอรหันต์ตัดกิเลสสิ้นขาดแล้ว แต่พระอรหันต์ที่ดับขันธ์ไปสู่นิพพาน ก็ใช่ว่าจะสิ้นสูญ ยังคงมีชีวิตสถิตอยู่ในพระนิพพานเมืองแก้วนั้นเอง เป็นชีวิตอมตะไม่รู้จักตาย เป็นชีวิตนิรันดร เที่ยงแท้ไม่แปรผัน ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ยังคงมี "ชีวิต" อยู่ในพระนิพพานชั่วนิรันดร
ชีวิตของคนผู้ยังไม่บรรลุพระอรหันต์นั้น จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องตายเกิด ตายเกิด อยู่เช่นนี้ตลอดไป ไม่รู้จักสิ้นสุด ต้องทนทุกข์เวทนา เพราะการเกิดแก่เจ็บตายนี้ ไม่รู้จักสิ้นเวรกรรมลงได้เลย พระพุทธองค์เห็นทุกข์ เห็นภัย ในวัฏสงสารเช่นนี้ จึงแสวงหาโมกขธรรม แสวงหาพระนิพพาน ความหลุดพ้นโลก เป็นโลกุตระ (เหนือโลก พ้นโลกไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงสถิตอยู่ในพระนิพพานนั้น ไม่ได้สูญหายไปไหนเลย ยังมีพระพุทธานุภาพอยู่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ประดุจพลังงาน ไฟฟ้ามีอยู่คู่โลกธาตุ
ชีวิตอมตะ หรือชีวิตนิรันดรนั้นมีอยู่ทุกศาสนา ศาสนาฮินดูตายแล้วก็ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ศาสนาคริสต์ ตายแล้วก็ไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ศาสนาอิสลาม ตายแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็รับไปอยู่ในสวรรค์ ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อตายร่างกายแตกดับ ถ้าหากว่าพระนิพพานสูญสิ้นเชื้อ ไม่เหลือเลย คนก็กลัวนิพพาน
แต่ชาวพุทธที่นับถือลัทธินิกายพระโพธิสัตว์ ซึ่งพระพุทธองค์สอนไว้มากมายนักหนา ในเรื่องชาดกต่างๆ 500 ชาติ ว่าพระองค์ก็เคยเกิดเสวยพระชาติเป็นสัตว์น้อย ๆ ตั้งแต่นกกระจาบ นกคุ่ม จนกระทั่งถึงสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง พญาฉัททันต์ จนกระทั่งเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นเสนาอำมาตย์ เป็นพราหมณ์ เป็นฤๅษี เป็นกษัตริย์ เป็นพระเวสสันดรชาติสุดท้าย ก่อนจะอุบัติเกิดมาเป็นพระพุทธองค์ในชาตินี้ นี่คือลัทธินิกายพระโพธิสัตว์ อันเป็นพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ มากกว่า 2000 ปีแล้ว
หลวงพ่อเงินท่านบวชในนิกายสยามวงศ์ หรือนิกายพระโพธิสัตว์นี้ เหมือนสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ผู้นิพนธ์เรื่องปฐมสมโพธิกถาไว้ ในหนังสือเรื่องนี้ ก็สอนเรื่องพระโพธิสัตว์ไว้ตลอดเรื่อง ทรงเรียกพระนิพพานว่า
"พระอมตะมหานิพพาน"
แปลว่า พระนิพพานอันเป็นอมตะอย่างยิ่ง คือ พระพุทธเจ้านั้นสถิตอยู่ในพระอมตะมหานิพพาน ท่านไม่ได้สูญหายไปไหน ท่านเป็นอมตะ ยังอยู่ในพระนิพพานชั่วนิรันดร
ขอยืนยันว่า ปฏิปทาของหลวงพ่อก็ดี จริยาวัตรของหลวงพ่อก็ดี คำสอนของหลวงพ่อก็ดี หลวงพ่อเชื่อถือเรื่องพระโพธิสัตว์ หลวงพ่อเชื่อว่าตัวท่านคือพระโพธิสัตว์อุบัติมาบำเพ็ญบารมี เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลาย และชาติสุดท้าย ท่านจะได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาลอีกแสนไกล



วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๒๗ หลวงพ่อโปรดสัตว์

๒๗. หลวงพ่อโปรดสัตว์
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงบรรทมเมื่อเวลาเที่ยงคืนล่วงไปแล้ว 1 ชั่วโมง คือบรรทมเวลา 1 นาฬิกา และทรงตื่นบรรทมเวลา 4.00นาฬิกา ตื่นแล้วก็ทรงเข้าฌานสมาบัติ สอดส่องพระญาณไปตรวจดูสรรพสัตว์ทั้งปวงว่าจะมีใครอยู่ในข่ายที่จะไปโปรดได้ แล้วก็ส่องพระรัศมีไปโปรดผู้นั้นจนถึงตัวปรากฏพระองค์ต่อผู้อื่น เช่น การโปรดองคุลีมาล เป็นต้น
การที่องคุลีมาลไล่วิ่งกวดไม่ทัน ทั้งที่เป็นชายกำยำนั้น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ แต่เป็นเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งคนสมัยนี้ไม่เชื่อว่าทำได้
และพระเยซู แสดงอิทธิฤทธิ์เสกขนมปัง 5 ก้อน เลี้ยงคนตั้ง 5,000 คน ได้ ชาวคริสต์เขาเชื่อ
ท่านไสบาบาแห่งประศานตินิลยัม เนรมิตสร้อย ล็อกเกต นาฬิกา ขนมวิภูติแจกคนได้ เสด็จไปช่วยสาวกต่างหัวเมืองได้ เป็นหมอผ่าตัดเนื้อร้ายในท้องคนไข้ได้ สาวกของท่านเชื่อถือกันสนิทใจ ไม่สงสัยเลย
จึงน่าสงสารชาวพุทธที่เป็นกำพร้า อนาถาไร้ที่พึ่ง ไม่เชื่อว่าพระพุทธองค์แผ่รัศมีไปปรากฏพระองค์ต่อหน้าองคุลีมาล สั่งสอนองคุลีมาลจนใจอ่อนยอมบวช จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ ชาวพุทธบางจำพวกที่เป็นปัญญาชนกลับไม่เชื่อ จึงน่าเวทนาสงสาร ที่เขาเกิดมาเป็นชาวพุทธที่กำพร้าเหล่านั้นเสียจริง ๆ
หลวงพ่อเงินไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ คือไม่สำเร็จอภิญญาญาณ ไม่มีมโนมยิทธิ แสดงฤทธิ์ไม่ได้ อย่างพระผู้มีพระภาคเจ้า (ซึ่งแปลว่า แบ่งภาค หรือเปล่งรัศมีไปโปรดคนได้ ภ = แสงสว่าง ค = ส่องแสงไป = พระผู้มีพระภาคเจ้า คือพระผู้เป็นเจ้า ผู้แบ่งภาคได้ หรือพระผู้เป็นเจ้า ผู้แบ่งภาคได้ หรือพระผู้เป็นเจ้าผู้เปล่งพระรัศมีไปได้ในที่ไกลแต่หลวงพ่อเงินก็โปรดสัตว์อยู่เสมอ อย่างที่เคยเล่าว่า ไปเป่าหัวเข่าคนที่ปวดหัวเข่าหายเป็นปลิดทิ้ง แล้วถวายพระบรมธาตุให้แก่หลวงพ่อ เป็นต้น
มีเรื่องเล่าประกอบการโปรดสัตว์ของหลวงพ่ออีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องจริง มีตัวตนยืนยันได้ คือ
คุณอนงค์ สุทธิมณฑล ภรรยาของ ...เทียบ สุทธิมณฑล ป่วยเป็นโรคประสาท จนผ่ายผอมหน้าซุบซีด เที่ยวรักษาหมอไทย หมอจีน หมอโบราณ หมอแผนปัจจุบันหลายแห่ง ก็ไม่หาย ได้ข่าวว่าหลวงพ่อเงินเป็นพระอาจารย์ขลังนัก จึงไปหาหลวงพ่อ ขอให้รดน้ำมนต์ให้
เมื่อพบหน้าหลวงพ่อแล้วก็มีความเลื่อมใสศรัทธามาก เพราะหลวงพ่อมีสง่าราศีผุดผ่อง ผิวพรรณขาวสะอาด แจ่มใส พูดจาไพเราะ โอภาปราศรัย ยิ้มแย้มแจ่มใส ถามถึงสารทุกข์สุกดิบ เหมือนคนคุ้นเคยกันมานับแรมปี
ก่อนจะรดน้ำมนต์ คุณอนงค์ จึงเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า คุณผู้ชายเจ้าชู้แอบไปมีเมียน้อยไว้ ไม่ค่อยห่วงบ้านช่องเลย
หลวงพ่อได้ฟังดังนั้น ก็เข้าใจถึงสภาพจิตใจ อันเป็นสมุฏฐานของโรคได้ทันที หลวงพ่อจึงพูดถึงธรรมะ การครองชีวิต ความทุกข์ความสุขของตนแม้กระทั่งเทวดาในเทวโลก แล้วก็วกลงมาว่า
"ความรัก ความชัง ความดีใจ เสียใจ เป็นธรรมดาของมนุษย์เหมือนมีมืดมีสว่าง มีสุขก็มีทุกข์ เป็นของคู่กัน มนุษย์จะหลีกเลี่ยงไม่พ้น ไม่ว่าไพร่ผู้ดีมีจน คุณนายเคยมีสุขมาแล้ว บัดนี้ทุกข์มันก็เข้ามาหาเราบ้าง ถึงเราไม่ชอบไม่ต้องการ ก็ต้องยอมรับและต่อสู้กับมัน ไม่ควรจะปล่อยให้มันย่ำยีโดยยอมแพ้ง่ายๆ ทางที่จะต้องสู้กับความทุกข์คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ขอให้เราเชื่อว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตน ไม่ว่ายากดีมีจนมีทุกข์เดือดร้อนเหมือนกันทั้งนั้น แต่มันทุกข์คนละอย่าง คนมีก็ทุกข์ ไปตามเรื่องของคนมี คนจนก็ทุกข์ไปตามประสาของคนจน จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อยอยู่ที่การกำหนดจิตใจ กำหนดจิตใจของตนเองได้ก็มีทุกข์น้อย หากปล่อยใจก็มีทุกข์มากทุกข์อย่างเดียวกัน แต่คนสองคนก็ทุกข์ไม่เท่ากัน เช่น คนสองคนไปปล้นเข้ามา ถูกจับได้ต้องติดตะรางเท่า ๆ กัน แต่คนหนึ่งทุกข์มาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนผ่ายผอมแต่คนหนึ่งปลงใจได้ว่าทำกรรมไว้ กรรมก็ตามมาสนอง ทนใช้กรรมยอมติดคุกไป เมื่อหมดกรรมก็ออกจากคุกได้ เขาก็ไม่เดือดร้อนใจ
ตามธรรมดาไฟนั้นจะลุกลามได้ใหญ่โตก็เพราะได้เชื้อที่อ่อนนิ่ม ถ้าเพลิงไหม้ไม้เนื้อแข็งก็ลุกลามได้ยาก เหมือนจิตใจคน ถ้าเข้มแข็งทุกข์ก็เกิดได้ยาก
ในโลกนี้อะไร ก็เป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น มนุษย์หาความสุขกันไป วัน ๆ หนึ่ง สมมติกันว่า เจ้านั้นรวย เจ้านี่จน เจ้านั่นนาย นั่นเมีย นั่นผัว สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ตัวของเราก็ไม่เหลืออยู่ ตัวเราก็ไม่ใช่ของเรา เพราะเราห้ามไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายไม่ได้ ทำไมเล่า เราจะไปมัวนึกว่าของอื่น ๆ นอกกายเป็นของเราอีกเล่า
สามีที่ไปมีภรรยาใหม่นั้น เพราะเขามีกรรม เขาจึงสาละวนขวนขวายอยู่ในกองกามกิเลส ถ้าภรรยาตัดใจได้ว่า ปล่อยเขาไปตามกรรม เราตั้งมั่นอยู่ในความดี หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน สามีผู้โลดแล่นไปเหมือนตะไลขึ้นสู่ฟ้า เมื่อหมดฤทธิ์ดินขับ ก็ย่อมตกลงสู่พื้นดินจนได้ หนีความดึงดูดของโลก ไปไม่พ้นเลย
ความดีความงามของภรรยาก็เหมือนแผ่นดิน ย่อมจะดึงดูดสามีให้กลับมาหาจนได้เมื่อเขาหมดเวรหมดกรรม
การมีภรรยามาก เป็นธรรมเนียมของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เรื่องภรรยานี้ มีอยู่ทั่วไปไม่เว้นคน กษัตริย์มีบุญญาธิการ ยังมีสนมไว้มากมาย เทพบุตรก็ว่ามีนางฟ้าเป็นบริวารมากมายหลายหมื่น คุณผู้ชายก็มียศถาบรรดาศักดิ์ หากจะผิดพลาดไปในเรื่องนี้ก็ควรอภัย หมดเวรหมดกรรมกับเมียน้อยเมื่อไร ก็คงกลับมาอยู่กับคุณนาย คุณนายก็มีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนอะไรในเวลานี้ ทำใจให้สงบสบายดีกว่า เอ้าเตรียมตัวเข้ามารดน้ำมนต์เสีย จิตใจจะได้สบาย"
คุณอนงค์ สุทธิมณฑล ยกมือขึ้นประนมสั่นหัว ตอบว่า
"ไม่ต้องอาบน้ำมนต์ก็ได้เจ้าค่ะ ได้อาบพระพุทธมนต์แล้ว ทำใจแล้ว ต่อไปจะไม่ทุกข์ในเรื่องเช่นนี้อีก"
ต่อมาไม่นาน คุณอนงค์ ก็มาหาหลวงพ่ออีก คราวนี้ไม่ได้มาคนเดียว เหมือนคราวก่อน แต่มี พ...เทียบ สุทธิมณฑล มาด้วย
เมื่อ พ...เทียบ สุทธิมณฑล ได้นั่งพิจารณาหลวงพ่ออยู่ครู่หนึ่ง พ...เทียบ ก็เข้ามากราบหลวงพ่อ พูดด้วยความเคารพนอบน้อมว่า
"กระผมรู้สึกเป็นบุญเหลือเกินที่ได้มานมัสการหลวงพ่อ กระผมได้รับคำบอกเล่าจากภรรยา กระผมก็อัศจรรย์ใจ กระผมจึงอยากจะมาดูให้เห็นจริง บัดนี้กระผมทราบแล้วว่า ภรรยาของกระผมโชคดีมากที่ได้มาพบหลวงพ่อ ความจริงนั้นกระผมไม่ค่อยเชื่อถือพระที่ไหนนัก เพราะมีแต่หลวงตาแก่ ๆ รดน้ำมนต์อ่านโองการเป็นชั่วโมง ๆ จนภรรยาผมตัวสั่น ก็ยังรดน้ำมนต์โครม ๆ แต่เสร็จแล้วร้อยทั้งร้อยไม่ได้เรื่องสักราย แต่หลวงพ่อรักษาภรรยาผมด้วยปากจนหายได้อย่างอัศจรรย์"
นับแต่วันนั้นมา พ...เทียบ สุทธิมณฑล ต้องนิมนต์หลวงพ่อไปฉันอาหารที่บ้านในวันทำบุญวันเกิดทุกปี เพื่อนฝูงถามว่าทำไมจึงนิมนต์พระองค์เดียว พ...เทียบ สุทธิมณฑล ตอบว่า
"ผมมีหลวงพ่อองค์เดียว"
คำเทศนาโปรดคุณอนงค์ สุทธิมณฑล ของหลวงพ่อนั้น ลองอ่านทบทวนดูอีกสักครั้งเถิดจะเรียกว่า "พระแม่ธรณีสูตร" ได้หรือไม่ เพราะหลวงพ่อสอนว่า คุณงามความดีของภรรยานั้นเหมือนแม่พระธรณีอันหนักแน่นไม่หวั่นไหว ของที่หลุดลอยไป สู่ฟ้าด้วยแรงขับแรงดันอะไรก็ตามย่อมจะถูกดึงดูดตกลงมาสู่ แผ่นดินเสมอ
คำสั่งสอนอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระโพธิสัตว์อุบัติมาบำเพ็ญบารมีเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลายได้จริง ๆ สอนได้เหมาะเจาะแก่บุคคลจริง ๆ รักษาโรคใจของคนป่วยให้หายได้จริง ๆ เพราะท่านพูดออกมาจากจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาจริง ๆ ไม่ได้จดจำเอามาจากไหนเลย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)