การออกบวช สละบ้านเรือน
ทรัพย์สมบัติ การงาน ไปเป็นภิกษุนั้น
ที่จริงก็เรียกว่า “สละโลกียวิสัย” นั่นเอง แต่ว่าถ้าการออกบวชนั้นเป็นแต่เพียงตั้งใจบวชตามประเพณี บวชทดแทนคุณบิดามารดา บวชเพื่อเอาบุญกุศล
บวชเพื่อเป็นญาติกับพระพุทธศาสนา บวชเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย หรือบนตัวบวช
บวชหน้าไฟ ก็สุดแล้วแต่ ก็เรียกว่าเป็นการบวชเพียงชั่วคราว
ไม่ได้ตั้งใจบวชอุทิศชีวิต เพื่อจะสละโลกียวิสัยโดยแท้จริง แม้แต่การบวชนานจนได้เป็นพระมหาเปรียญ
มีสมณศักดิ์เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ เป็นสมเด็จพระราชาคณะก็ตาม ก็ยังไม่เรียกว่า
บวชอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง
เพราะยังอาจจะลาสึกออกมาครองเรือนอีกเมื่อไรก็ได้ ด้วยน้ำใจยังไม่มั่นคงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่พอ
ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนทั้งหลายทั่วไป
ซึ่งเป็นบุรุษชายธรรมดา ไม่ว่าใครร้อยละเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เป็นเช่นนี้
แต่สำหรับหลวงพ่อเงินนั้น
เป็นกรณีพิเศษ สำหรับวิสามัญบุรุษ อันนานๆ จะมีสักคนหนึ่ง คือ ตั้งแต่บวชมาก็ไม่เคยคิดแม้สักขณะจิตเดียวว่าจะสึกออกไปเป็นฆราวาสอีก
ตั้งใจตั้งแต่แรกทีเดียวว่าจะขอบวชไปจนตลอดชีวิต จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ตั้งใจจะอุทิศชีวิตอยู่ในเพศภิกษุ
ตั้งใจถวายชีวิตต่อพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันหนึ่ง เมื่อมีโอกาสเหมาะดี
จึงได้บอกแก่โยมบิดามารดาว่า
"ทรัพย์สมบัติทางโลกที่โยมยกให้ทั้งหมดนั้น ฉันขอสละหมดทุกสิ่งทุกประการ จะขอบวชต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
จะขออุทิศชีวิตเพื่อเป็นที่พึ่ง เป็นแสงสว่างแก่เพื่อนมนุษย์
ผู้เกิดมาอยู่ในความมืดและความทุกข์ยาก ขอให้โยมจงยินดีอนุโมทนาด้วยเถิด"
นี้เป็นคำกล่าวเมื่อบวชได้พรรษาที่ ๕ หลังจากกลับจากเดินทางออกธุดงค์กลับมาถึงวัดแล้ว
ความจริงใจนั้น
ตั้งใจจะบวชอุทิศชีวิตมาตั้งแต่แรกบวช
เพียงแต่ยังไม่ได้กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณออกไปให้โยมทราบเท่านั้น เมื่อได้ใช้เวลาตรึกตรองจนแน่ใจแล้ว
จึงได้บอกให้โยมทราบเป็นคนแรก โยมทั้งสองก็ยกมือขึ้นสาธุอนุโมทนาด้วย เพราะก็รู้อยู่ตั้งแต่หลวงพ่อเงินเกิดมาแล้วว่าลูกชายคนนี้จะได้บวชเป็นสมภารเจ้าวัดแน่
ลูกชายก็ยังมีอยู่อีกถึง ๖ คนที่เป็นฆราวาส จึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
เมื่อได้ยินพระลูกชายพูดเช่นนี้
ในพรรษาที่ ๕ นั้น
ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามมาคือ หลวงพ่อฮวย เจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม
ซึ่งชราภาพมากแล้ว เข้าใจว่าอายุกว่า ๘๐ ปี เจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ เรื่อยมา หลวงพ่อเงินก็ได้พยายามปรนนิบัติอยู่ไม่ทอดทิ้ง ด้วยความกตัญญูกตเวที
ต่อมาทางการพระสงฆ์
ก็ได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อเงิน เป็นรองเจ้าอาวาส ทำการแทนเจ้าอาวาส
ปกครองสงฆ์วัดดอนยายหอมต่อมา
หลวงพ่อเงิน พูดปรารภว่า
"ไม่อยากมีตำแหน่งทางคณะสงฆ์เลย
แต่อยากจะทำงานพระพุทธศาสนาอย่างอิสระด้วยใจสมัคร เพื่อสร้างคุณงามความดี การทำงานให้พระศาสนาก็ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่อะไร"
เมื่อชาวบ้านกลัวว่าหลวงพ่อเงินไม่รับตำแหน่งหน้าที่
กลัวว่าทางการคณะสงฆ์จะแต่งตั้งพระภิกษุจากที่อื่นมาเป็นแทน
จึงได้เข้าชื่อกันร้องเรียนไปทางเจ้าคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่
วันหนึ่ง ท่านเจ้าคุณพุทธรักขิต
เจ้าคณะจังหวัดจึงได้เดินทางไปที่วัดดอนยายหอม วันนั้น ตรงกับวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๕๙ หลวงพ่อเงินอายุได้ ๒๖ พรรษาที่ ๖ ท่านเจ้าคุณพระพุทธรักขิตได้ประชุมสงฆ์และราษฎร
เพื่อเลือกตั้งรองเจ้าอาวาส ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แต่งตั้งพระภิกษุเงิน
จันทสุวัณโณ เป็นรองเจ้าอาวาส พระพุทธรักขิตจึงเรียกพระภิกษุเงินให้มายืนต่อหน้าที่ประชุมนั้น
แล้วสั่งแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าอาวาสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พระพุทธรักขิต
เจ้าคณะจังหวัด ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า
"ได้ทราบมานานแล้วว่า คุณเงิน
เป็นพระภิกษุหนุ่มที่เข้มแข็ง มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
มีปฏิภาณในการสั่งสอนประชาชน วางตนเป็นที่เคารพนับถือของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย วันนี้ได้มาเห็นตัว
เห็นลักษณะอันมีสง่าน่ายำเกรงด้วยแล้ว ก็สามารถจะทำนายได้ว่า พระภิกษุเงินผู้นี้
จะเป็นพระเถระผู้ทรงคุณความสามารถในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสืบไปผู้หนึ่ง
ประชาชนจะมีความเลื่อมใสศรัทธาไปทุกสารทิศ จึงขอเตือนว่า
คุณจะเป็นผู้ปกป้องชาวบ้านนี้ให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม
คุณจะเป็นผู้นำให้เขาไปสู่แสงสว่าง อันหมายถึงความสงบสุข ลักษณะของคุณก็บอกอยู่ว่า
เป็นผู้ประกอบด้วยเมตตาจิต ขอให้คุณจงเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพระพุทธศาสนายิ่งๆ
ขึ้นไป"
คำกล่าวของท่านเจ้าคุณพุทธรักขิตนี้
นับว่าเป็นคำทำนายที่เป็นคำประกาศิตของท่านซึ่งหลวงพ่อเงินจำได้แม่นยำที่สุด
เป็นทั้งคำขวัญที่ส่งเสริมกำลังใจให้ประกอบแต่ความดีตลอดมา คำกล่าวของผู้ใหญ่ที่กล่าวออกมาด้วยน้ำใจเมตตาและปัญญา
จึงมีความสำคัญต่อชีวิตของผู้น้อยเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่ายุคสมัยใด หรือบุคคลใด
สถานที่ใดก็ดี ประดุจคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ว่าบุคคลใดจะเป็นพระนิตยะโพธิสัตว์
ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต คำของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งไม่มีสองฉันใด
คำของครูอาจารย์ก็ฉันนั้น
(โปรดติตตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น