วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ...ตอน ๕ สละโลกีย์วิสัย



๕.สละโลกีย์วิสัย
การออกบวช สละบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ การงาน ไปเป็นภิกษุนั้น ที่จริงก็เรียกว่า “สละโลกียวิสัย นั่นเอง  แต่ว่าถ้าการออกบวชนั้นเป็นแต่เพียงตั้งใจบวชตามประเพณี บวชทดแทนคุณบิดามารดา บวชเพื่อเอาบุญกุศล บวชเพื่อเป็นญาติกับพระพุทธศาสนา บวชเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย หรือบนตัวบวช บวชหน้าไฟ ก็สุดแล้วแต่  ก็เรียกว่าเป็นการบวชเพียงชั่วคราว ไม่ได้ตั้งใจบวชอุทิศชีวิต เพื่อจะสละโลกียวิสัยโดยแท้จริง  แม้แต่การบวชนานจนได้เป็นพระมหาเปรียญ มีสมณศักดิ์เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ เป็นสมเด็จพระราชาคณะก็ตาม  ก็ยังไม่เรียกว่า บวชอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง เพราะยังอาจจะลาสึกออกมาครองเรือนอีกเมื่อไรก็ได้ ด้วยน้ำใจยังไม่มั่นคงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่พอ  ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนทั้งหลายทั่วไป ซึ่งเป็นบุรุษชายธรรมดา ไม่ว่าใครร้อยละเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เป็นเช่นนี้
แต่สำหรับหลวงพ่อเงินนั้น เป็นกรณีพิเศษ สำหรับวิสามัญบุรุษ อันนานๆ จะมีสักคนหนึ่ง  คือ ตั้งแต่บวชมาก็ไม่เคยคิดแม้สักขณะจิตเดียวว่าจะสึกออกไปเป็นฆราวาสอีก ตั้งใจตั้งแต่แรกทีเดียวว่าจะขอบวชไปจนตลอดชีวิต จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ตั้งใจจะอุทิศชีวิตอยู่ในเพศภิกษุ ตั้งใจถวายชีวิตต่อพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันหนึ่ง เมื่อมีโอกาสเหมาะดี จึงได้บอกแก่โยมบิดามารดาว่า
"ทรัพย์สมบัติทางโลกที่โยมยกให้ทั้งหมดนั้น ฉันขอสละหมดทุกสิ่งทุกประการ  จะขอบวชต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ จะขออุทิศชีวิตเพื่อเป็นที่พึ่ง เป็นแสงสว่างแก่เพื่อนมนุษย์ ผู้เกิดมาอยู่ในความมืดและความทุกข์ยาก  ขอให้โยมจงยินดีอนุโมทนาด้วยเถิด"
นี้เป็นคำกล่าวเมื่อบวชได้พรรษาที่  หลังจากกลับจากเดินทางออกธุดงค์กลับมาถึงวัดแล้ว  ความจริงใจนั้น ตั้งใจจะบวชอุทิศชีวิตมาตั้งแต่แรกบวช เพียงแต่ยังไม่ได้กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณออกไปให้โยมทราบเท่านั้น  เมื่อได้ใช้เวลาตรึกตรองจนแน่ใจแล้ว จึงได้บอกให้โยมทราบเป็นคนแรก  โยมทั้งสองก็ยกมือขึ้นสาธุอนุโมทนาด้วย  เพราะก็รู้อยู่ตั้งแต่หลวงพ่อเงินเกิดมาแล้วว่าลูกชายคนนี้จะได้บวชเป็นสมภารเจ้าวัดแน่ ลูกชายก็ยังมีอยู่อีกถึง  คนที่เป็นฆราวาส  จึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เมื่อได้ยินพระลูกชายพูดเช่นนี้
ในพรรษาที่  นั้น ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามมาคือ หลวงพ่อฮวย เจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ซึ่งชราภาพมากแล้ว เข้าใจว่าอายุกว่า ๘๐ ปี เจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ เรื่อยมา  หลวงพ่อเงินก็ได้พยายามปรนนิบัติอยู่ไม่ทอดทิ้ง ด้วยความกตัญญูกตเวที
ต่อมาทางการพระสงฆ์ ก็ได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อเงิน เป็นรองเจ้าอาวาส ทำการแทนเจ้าอาวาส ปกครองสงฆ์วัดดอนยายหอมต่อมา
หลวงพ่อเงิน พูดปรารภว่า
"ไม่อยากมีตำแหน่งทางคณะสงฆ์เลย แต่อยากจะทำงานพระพุทธศาสนาอย่างอิสระด้วยใจสมัคร เพื่อสร้างคุณงามความดี  การทำงานให้พระศาสนาก็ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่อะไร"
เมื่อชาวบ้านกลัวว่าหลวงพ่อเงินไม่รับตำแหน่งหน้าที่ กลัวว่าทางการคณะสงฆ์จะแต่งตั้งพระภิกษุจากที่อื่นมาเป็นแทน จึงได้เข้าชื่อกันร้องเรียนไปทางเจ้าคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่
วันหนึ่ง ท่านเจ้าคุณพุทธรักขิต เจ้าคณะจังหวัดจึงได้เดินทางไปที่วัดดอนยายหอม  วันนั้น ตรงกับวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๕๙  หลวงพ่อเงินอายุได้ ๒๖  พรรษาที่   ท่านเจ้าคุณพระพุทธรักขิตได้ประชุมสงฆ์และราษฎร เพื่อเลือกตั้งรองเจ้าอาวาส ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แต่งตั้งพระภิกษุเงิน จันทสุวัณโณ เป็นรองเจ้าอาวาส  พระพุทธรักขิตจึงเรียกพระภิกษุเงินให้มายืนต่อหน้าที่ประชุมนั้น แล้วสั่งแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าอาวาสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พระพุทธรักขิต เจ้าคณะจังหวัด ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า
"ได้ทราบมานานแล้วว่า คุณเงิน เป็นพระภิกษุหนุ่มที่เข้มแข็ง มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า มีปฏิภาณในการสั่งสอนประชาชน วางตนเป็นที่เคารพนับถือของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย  วันนี้ได้มาเห็นตัว เห็นลักษณะอันมีสง่าน่ายำเกรงด้วยแล้ว ก็สามารถจะทำนายได้ว่า พระภิกษุเงินผู้นี้ จะเป็นพระเถระผู้ทรงคุณความสามารถในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสืบไปผู้หนึ่ง ประชาชนจะมีความเลื่อมใสศรัทธาไปทุกสารทิศ  จึงขอเตือนว่า คุณจะเป็นผู้ปกป้องชาวบ้านนี้ให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม คุณจะเป็นผู้นำให้เขาไปสู่แสงสว่าง อันหมายถึงความสงบสุข  ลักษณะของคุณก็บอกอยู่ว่า เป็นผู้ประกอบด้วยเมตตาจิต  ขอให้คุณจงเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพระพุทธศาสนายิ่งๆ ขึ้นไป"
คำกล่าวของท่านเจ้าคุณพุทธรักขิตนี้ นับว่าเป็นคำทำนายที่เป็นคำประกาศิตของท่านซึ่งหลวงพ่อเงินจำได้แม่นยำที่สุด เป็นทั้งคำขวัญที่ส่งเสริมกำลังใจให้ประกอบแต่ความดีตลอดมา  คำกล่าวของผู้ใหญ่ที่กล่าวออกมาด้วยน้ำใจเมตตาและปัญญา จึงมีความสำคัญต่อชีวิตของผู้น้อยเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่ายุคสมัยใด หรือบุคคลใด สถานที่ใดก็ดี  ประดุจคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ว่าบุคคลใดจะเป็นพระนิตยะโพธิสัตว์ ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต คำของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งไม่มีสองฉันใด คำของครูอาจารย์ก็ฉันนั้น 



(โปรดติตตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น