งานบริหารกิจการพระศาสนานั้น มองดูภายนอกระดับประเทศ
ก็นับว่าเป็นภาพที่กว้างใหญ่ไพศาล จนมองดูพร่ามัว ไม่รู้ว่าบริหารอะไร งานของคณะสังฆมนตรี หรืองานของมหาเถรสมาคม
ก็มองไม่เห็นว่าบริหารกิจการพระศาสนาอย่างไร เพราะเป็นงานระดับสูง
มีขอบข่ายกว้างขวางมาก งานระดับจังหวัด
ระดับอำเภอ ก็ยังมองไม่ออกชัดเจนอะไรนัก
แต่อันที่จริงงานบริหารกิจการพระศาสนานั้น
งานจริงๆ อยู่ระดับวัดนั่นเอง เพราะพระภิกษุสงฆ์อยู่ที่วัด หัวหน้าปกครองพระภิกษุสงฆ์คือสมภารเจ้าวัด
วัดนั้นก็มีหมู่กุฎีเป็นหลัง ๆ
เปรียบเหมือนบ้านเรือนของพระสงฆ์ กุฎีหลังหนึ่ง
มีพระภิกษุอยู่ ๒-๔ รูป ก็เท่ากับครัวเรือนหนึ่ง
ซึ่งลูกชายชาวบ้านมาบวชเรียนอยู่อาศัย
วัดหนึ่งจึงเท่ากับหมู่บ้านหนึ่ง
เจ้าอาวาสนั้นถ้าจะเปรียบกับการปกครองทางบ้านเมือง ก็เท่ากับเป็นผู้ใหญ่บ้าน
ปกครองหมู่บ้าน ๑๐-๒๐ หลังคาเรือน
ตำแหน่งรองเจ้าอาวาสของพระอาจารย์เงิน จันทสุวัณโณ จึงเทียบเท่ากับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านของทางการคณะสงฆ์นั่นเอง เมื่อหลวงพ่อฮวยเจ้าอาวาส
เป็นพระภิกษุสงฆ์ชราภาพแล้ว การบริหารของวัดดอนยายหอม
จึงตกเป็นหน้าที่ของพระอาจารย์เงินเต็มมือ
แต่พระอาจารย์เงิน ก็มีความเคารพนอบน้อม ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อฮวยอยู่ ในฐานะเป็นพระอุปัชฌาย์
ด้วยความกตัญญูกตเวที มิได้ดื้อกระด้างอวดดีแข่งดีอะไรเลย เพราะที่จริง ใจของพระอาจารย์เงิน
ก็ไม่อยากเป็นใหญ่อยู่แล้ว อยากแต่จะทำงานสร้างคุณงามความดี
สร้างบารมีเพื่อเอาบุญกุศลตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาแต่อย่างเดียว เมื่อพระเณรลูกวัดและชาวบ้านประจักษ์อยู่แก่ตาแก่ใจเช่นนี้
จึงไม่มีปัญหาอะไร มีแต่ช่วยกัน
คือช่วยกันทำ
ช่วยกันออกเงินบูรณะปฏิสังขรณ์วัดดอนยายหอมให้เจริญเป็นปึกแผ่นขึ้นตามลำดับ
อีก ๔ ปีต่อมา
คือในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ อาจารย์พรหม ด้วงพูล โยมบิดาของพระอาจารย์เงิน ก็ถึงแก่กรรมลง ชาวบ้านลือกันว่า
อาจารย์พรหมถูกกระทำทางไสยศาสตร์
เพราะอาจารย์พรหมเป็นอาจารย์ทางไสยศาสตร์อยู่เหมือนกัน หลวงพ่อเงินเล่าว่า โยมบิดาของท่าน
ถึงแก่กรรมอย่างปัจจุบัน ไม่ทันได้รักษาพยาบาลแต่อย่างใด ส่วนว่าจะถึงแก่กรรมด้วยโรคอะไร
เหตุอะไรก็ไม่มีใครทราบได้
เพราะไม่มีการพิสูจน์กันด้วยวิธีการของแพทย์แผนปัจจุบัน เมื่อโยมบิดาถึงแก่กรรมนี้ หลวงพ่อเงินอายุได้ ๓๐ ปี
ครั้นต่อมาอีก ๓ ปี ใน พ.ศ.๒๔๖๖ หลวงพ่อฮวย ก็ถึงแก่มรณภาพอีกองค์หนึ่ง เมื่อพระอาจารย์เงิน อายุได้ ๓๓ ปี เป็นอันว่า พระอาจารย์เงินได้สูญเสียที่พึ่ง
ที่เคารพนับถือไป ๒ คนในเวลาห่างกันเพียง ๓ ปีเท่านั้น
ครั้นทราบถึงทางการพระสงฆ์แล้ว
จึงได้สั่งแต่งตั้งให้พระอาจารย์เงิน จันทสุวัณโณ รองเจ้าอาวาส
เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๖๖ อายุพระอาจารย์เงินได้ ๓๓ ปี คนทั้งหลายจึงเรียกพระอาจารย์เงินว่า “หลวงพ่อเงิน”
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ถึงแม้จะมีวัยวุฒิน้อย
แต่ตำแหน่งหน้าที่และคุณงามความดี ประชาชนก็ยอมรับนับถือว่า เป็นหลวงพ่อของเขา
นับแต่นั้นมา
เมื่อได้รับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสเต็มตัวแล้ว
หลวงพ่อเงิน ก็เริ่มงานการก่อสร้างหอสวดมนต์ขึ้นหลังหนึ่ง ยาว ๙ เมตร กว้าง ๔ เมตร
สิ้นเงินค่าก่อสร้าง ๔๐,๐๐๐ บาท ในสมัยนั้นเงินมีค่ามาก
ถ้าตกปัจจุบันก็ต้องคูณด้วย ๑๐๐ ก็จะตกประมาณ ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ก็มีผู้ศรัทธาบริจาคทรัพย์ทำบุญให้ท่าน ให้ก่อสร้างจนสำเร็จเรียบร้อยเป็นงานชิ้นแรก
ระยะนี้ หลวงพ่อเงิน
มีชื่อเสียงดีมาก มีคนเคารพนับถือมาก มีคนขึ้นมาก ทั้งใกล้ไกล สาวและแก่
เป็นมิ่งขวัญของคนตำบลนั้น ถ้าจะพูดให้ตรงก็ต้องพูดว่า
เป็นดาวดวงเด่นอยู่ในเวลานั้น ถึงแก่มีคนเป็นห่วงกันมาก กลัวว่าจะมีหญิงสาวคนใดมาชิงเอาหลวงพ่อเงินไปเสีย
คนเฒ่าคนแก่ พูดกันทั่วไปว่า
"สำคัญอีพวกสีกาหน้าขาว ๆ นั่นแหละ มันจะมาทำให้ผ้าเหลืองพระของกูร้อน"
มีพ่อเฒ่าคนหนึ่ง แกหวงหลวงพ่อเงินนักหนา ถ้ามีสาวคนใดไปพูดจาถึงหลวงพ่อเงินให้แกได้ยินเข้า
หรือว่าไปมาหาสู่ผิดปกติ แกจะต้องด่าให้อย่างหยาบคายเจ็บแสบ
จนอายแทบว่าต้องแทรกแผ่นดินหนีทีเดียว เขาว่าตาคนนี้แหละแกเป็นหมาเฝ้าหลวงพ่อเงินอยู่ที่วัด
อย่างไรก็ดีชื่อเสียงหลวงพ่อเงินก็โด่งดังจริงๆ
มีคนไปหาไม่เว้นแต่ละวัน แต่หลวงพ่อเงินก็ประพฤติปฏิบัติตนเหมือนพระลูกวัดธรรมดา
ทุกวันทุกเช้าหลวงพ่อเงินก็ออกบิณฑบาตเช่นพระลูกวัด ไม่มีเว้นเลย ได้อาหารดี ๆ
มาก็แบ่งปันให้พระลูกวัดฉันเสมอหน้ากันตามมากตามน้อย ได้ลาภทานสักการะอะไรมา ก็ทำบุญสร้างวัด
หรือบริจาคให้พระลูกวัดไปฉันใช้สอย
ไม่เคยเก็บสะสมไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเลยแม้แต่ชิ้นเดียว หลวงพ่อเงินชื่อเงินก็จริง แต่เรื่องเงินแล้วดูจะถือว่าเป็นกาลกิณีแก่ท่าน
ท่านไม่เคยแตะต้องเงินเลย ได้มาก็รู้แต่จำนวนเงินเป็นตัวเลข
ส่วนตัวเงินอยู่ที่ไวยาวัจกร เอาไปซื้อของเครื่องใช้สำหรับพระลูกวัด
สำหรับการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดทุกบาททุกสตางค์
ชื่อเสียงของหลวงพ่อเงิน จึงบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ส่งกลิ่นฟุ้งขจรขจายไป เหมือนกลิ่นดอกไม้ หอมหวนทวนลมไปได้ จนรู้ถึงหูเจ้าคณะจังหวัด ท่านก็
ออกปากชมอยู่เสมอ ใครไปท่านก็พูดถึง ขอให้ดูคุณเงินสมภารวัดดอนยายหอมเป็นแบบอย่าง สมภารเด็ก ๆ
แต่เขาทำอะไรมีหลักฐานดีจริงๆ
คำยกย่องของเจ้าคณะจังหวัด รู้ถึงหูสมภารวัดอื่น
ๆ ทำให้สมภารวัดหลายองค์ เดินทางไปชมวัดดอนยายหอม เมื่อเห็นวัดวาสะอาด เรียบร้อยเป็นระเบียบ
เห็นบุคลิกลักษณะของหลวงพ่อเงิน มีสง่าอัธยาศัยดี โอภาปราศรัย พูดจาสุภาพเรียบร้อย
พระสงฆ์และชาวบ้านก็พากันทึ่งมาก
ในระยะหลังที่อาจารย์พรหม
โยมบิดามรณะไปแล้ว ชาวบ้านที่เคยพึ่งพาอาศัยอาจารย์พรหมอยู่
เมื่อหมดที่พึ่ง ก็หันมาหาหลวงพ่อเงินแทน เจ็บไข้ได้ป่วยมีทุกข์ร้อนอะไร
ก็พากันหันหน้ามาหาหลวงพ่อเงินให้ช่วย โดยถือว่าเป็นพ่อลูกกันมีตำรับตำราอะไร
ก็คงจะตกอยู่แก่พระลูกชาย เรื่องนี้ก็กลายเป็นการบังคับทางอ้อมให้หลวงพ่อเงินต้องบำเพ็ญตนเป็นอาจารย์พรหมไปด้วย
เมื่อเห็นมีคนทุกข์ร้อนบ่ายหน้ามาให้ช่วย ก็ต้องช่วยเหลือไปเท่าที่จะช่วยได้ สมัยโน้นโรงพยาบาล สถานีอนามัยก็ไม่มี
มีก็อยู่ในเมือง ห่างไกลหลายกิโลเมตร ไปมาก็ลำบาก ถนนหนทาง รถยนต์ก็ไม่มี
ประชาชนจึงต้องพึ่งหมอแผนโบราณ ยาขอ หมอวาน หมอชาวบ้านอยู่ทั่วไป หลวงพ่อเงิน
จึงกลายเป็นหมอแผนโบราณแทนโยมบิดาไปอีกอย่างหนึ่ง ใครป่วยไข้เป็นอะไร
ก็มาขอน้ำมนต์ให้เสกเป่าให้บ้าง เมื่อได้ผลคนก็ยิ่งนับถือ พากันมาหามากเข้าทุกที
หนักเข้าก็กลายเป็นเกจิอาจารย์ ขอให้ท่านทำเสื้อยันตร์ ตะกรุด ลูกอม
ขี้ผึ้ง แป้งผัดหน้า น้ำมันมนต์ เสกหมากพลู เสกทราย ซัดบ้านกันขโมยขะโจร
แม้กระทั่งชานหมากก็มีคนต้องการ ไม่มีใครรังเกียจ
แต่จิตที่ตั้งความปรารถนาไว้ว่า
จะบวชอุทิศชีวิตสร้างบารมี ช่วยเหลือมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากนี้แหละ ทำให้หลวงพ่อเงินปฏิเสธไม่ได้
เพราะได้ตั้งใจมาแต่แรกแล้วว่า จะอุทิศชีวิตเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบารมี
จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทำให้ท่านต้องช่วยคนที่บากหน้ามาหาไม่เลือกหน้า
ก็เป็นธรรมดาของสังคม
ย่อมจะมีคนดีคนชั่วปะปนกันอยู่ทั่วไปไม่เลือกกาลสถานที่ บรรดาคนที่มาหาหลวงพ่อเงิน
จึงย่อมจะมีคนชั่วคนพาลปะปนอยู่ด้วย ลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน
บางคนก็กลายเป็นอ้ายเสือร้ายไปเมื่อออกพ้นวัดไปแล้ว เช่น เสือชม เสือเชย
ผู้ร้ายมีชื่อสมัยนั้นก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเงินด้วย
จึงทำให้เจ้าเมืองนครปฐม
ต้องเดินทางไปหาหลวงพ่อเงิน ครั้งหนึ่งพระองค์เจ้าอาทิตย์-ทิพยอาภา
เจ้าเมืองนครปฐม ได้เสด็จไปหาหลวงพ่อเงินถึงวัดดอนยายหอม
เพื่อจะไปขอร้องให้เลิกให้เครื่องรางของขลังเสีย แต่เมื่อเจ้านายเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่องค์นี้ได้เห็นบุคลิกลักษณะหลวงพ่อเงินเข้า
ประกอบกับได้ทรงสนทนาโต้ตอบโอภาปราศรัย แลเห็นอัธยาศัยน้ำใจอันแท้จริงของหลวงพ่อเงิน
พระองค์เจ้าอาทิตย์ก็ล้มเลิกความคิดที่จะขอร้อง
ได้กลายเป็นแขกประจำของหลวงพ่อเงินไปด้วย ทุกวันอาทิตย์
พระองค์เจ้าอาทิตย์จะต้องไปหาหลวงพ่อเงิน เป็นแขกประจำ
หลังจากนั้นจะอย่างไรไม่ทราบชัด
เจ้าคณะจังหวัด ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้หลวงพ่อเงินเป็นเจ้าคณะตำบลดอนยายหอม เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๗๐ อายุได้ ๓๗ ปี และในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ต่อมาเจ้าคณะจังหวัดก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้พระภิกษุเงิน จันทสุวัณโณ เป็นพระครูปลัด
ของเจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม
ส่วนเรื่องการก่อสร้างบูรณะปฏิสังขรณ์วัดนั้น
หลวงพ่อเงินก็ทำไปเรื่อยๆ
พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ขึ้น
โดยอาศัยทุนทรัพย์ของบรรดาญาติพี่น้องของท่านเอง รวมทั้งชาวบ้านดอนยายหอม
อุทิศกุศลให้โยมบิดามารดา เป็นศาลาขนาดกว้างใหญ่เป็นที่เชิดหน้าชูตาวัดนี้ หลวงพ่อเงินมีดีอยู่อย่างหนึ่งเรื่องเงิน
คือท่านไม่สะสมเงิน ไม่แตะต้องเงินเลย
ท่านไม่ยอมสะสมเงินไว้เพื่อส่วนตัวหรือเอาไปเจือจุนญาติพี่น้อง
มีแต่เอาทรัพย์สินเงินทองของญาติพี่น้องมาร่วมทำบุญสร้างวัด คนทั้งหลายเมื่อทราบว่าท่านจะสร้างอะไร
ก็มีคนเต็มใจออกเงินช่วยทำบุญอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งท่านกำลังสร้างอาคารเป็นตึกคอนกรีตอยู่
ผู้เขียนถามว่า
"หลวงพ่อ สร้างอะไรหลังใหญ่ ๆ อย่างนี้ ไม่กลัวว่าจะไม่มีเงินพอ สร้างไม่เสร็จ มั่งหรือครับ"
หลวงพ่อเงินตอบเรียบ ๆ ว่า
"ตั้งใจทำไปตามกำลังศรัทธา ก็สำเร็จจนได้นั่นแหละ"
หลวงพ่อเงิน ไม่มีนิสัยโลภ ไม่สะสม
ไม่ต้องการมีอะไรเป็นของตน ไม่มีห่วง
ไม่มีหวังทางโลก ไม่ทำอะไรเพื่อตัวเอง มีนิสัยเสียสละทำเพื่อคนอื่นทั้งสิ้น นิสัยจิตใจอย่างนี้
เป็นที่รู้เป็นที่ประจักษ์แจ้งในผู้คนทั้งหลายทั้งปวงทั่วไป เพราะเหตุนี้เมื่อท่านทำอะไร ใครรู้เข้า
ก็เต็มใจยินดีบริจาคด้วยความเต็มใจเต็มสติกำลัง หลวงพ่อเงินเสมือนเนื้อนาอันดุดม
เมื่อหว่านพืชลงไปย่อมจะได้ผลเต็มที่
"อนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ"
"เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีอะไรเหนือกว่า"
คนจึงยินดีหว่านพืชลงไปในนาดีอย่างหลวงพ่อเงิน
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ท่านได้สร้างโรงเรียนปริยัติธรรมอีกหลังหนึ่ง ขนาดกว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๖ เมตร
สิ้นค่าก่อสร้างสมัยนั้น ๔๐,๐๐๐ บาท
และในปี พ.ศ.๒๔๗๓ นั้นเอง ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ทำการอุปสมบทกุลบุตร
ในตำบลดอนยายหอมนั้น เมื่ออายุ ๔๐ ปี