วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๒๒ สมภารพระโพธิสัตว์

๒๒. สมภารพระโพธิสัตว์
อันว่า พระมหากษัตริย์นั้น โบราณท่านถือว่าคือพระโพธิสัตว์มาอุบัติเกิดเพื่อบำเพ็ญพระบารมี กิจการงานในหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ท่านจึงเรียกว่า "พระบรมโพธิสมภารแปลว่า "พระผู้มีภาระหน้าที่อยู่อย่างใหญ่หลวง สม่ำเสมอเพื่อตรัสรู้"
พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นเจ้าอาวาสท่านก็เรียกกันว่า "สมภาร" แปลว่า "ผู้มีภาระหน้าที่อยู่อย่างสม่ำเสมอ" เหมือนกัน
ยิ่งหลวงพ่อเงินที่ท่านเชื่อว่าตัวท่านคือพระโพธิสัตว์อุบัติมาสร้างบารมีด้วยแล้ว ท่านก็ต้องยอมรับภาระหน้าที่ทุกอย่าง ที่จะสงเคราะห์ประชาชนชาวบ้านให้พ้นทุกข์
ทุกข์ของชาวบ้านที่มีอยู่เกือบทุกผู้ทุกคนก็คือความป่วยไข้ หลวงพ่อจึงต้องกลายเป็นหมอรักษาโรค รักษาไข้ไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
สมัยก่อน โรงพยาบาล สถานีอนามัย แพทย์แผนปัจจุบันก็ยังไม่มี หมอแผนโบราณชาวบ้านก็ไม่ชำนาญอะไร รักษาก็มักจะเรียกเงินทองด้วย จึงตกเป็นหน้าที่ของสมภารเจ้าวัด ต้องกลายเป็นหมอจำเป็นในชนบทสมัยก่อนโน้น
ถึงแม้ในเวลาต่อมา จะมีโรงพยาบาล มีสถานีอนามัย หลวงพ่อได้เป็นผู้จัดตั้งสถานีอนามัยขึ้นเองในตำบลดอนยายหอม และเป็นประธานในการหาเงินสร้างโรงพยาบาลจังหวัดนครปฐมในเวลาต่อมา แต่ก็มีโรคบางอย่างที่คนนิยมมาหาหลวงพ่อให้รักษาให้ แม้แต่บุตรของนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม คือนายแพทย์เติม วัชรเสถียร เป็นโรคชันตุ มีแผลเป็นพุพองที่ศีรษะ มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มเกรอะกรัง หลวงพ่อก็เป่าอาคมรักษาให้ก็หาย
นายช้อย หงวนบุญมาก หลานของหลวงพ่อเป็นโรคผอมแห้ง ซูบซีดไปรักษาอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชไม่หาย หลวงพ่อรู้ก็ให้คนไปตามตัวกลับมาสั่งว่าถ้าไม่ยอมกลับให้เตือนว่า
"เรือนตายอยู่ที่วัดดอนยายหอม"
ญาติจึงไปตามตัว เอาลงเรือนกลับมาให้หลวงพ่อรักษา หลวงพ่อก็ต้มยาหม้อให้กินบ้างเสกแป้งปูนมาทาตามตัวบ้าง รักษาอยู่เดือนเศษก็หาย เดินได้
รักษาคนบ้า
หลวงพ่อมีเมตตาบารมีสูง มีกระแสจิตเมตตาแรงกล้า หลวงพ่อจึงสามารถ แผ่ความเมตตานี้ทำให้จิตคนที่บ้าดีเดือดมุทะลุดุดัน ให้สงบเยือกเย็นอ่อนโยนลงได้
"ฉันสอนคน ก็สอนด้วยเมตตาจิต ฉันแผ่เมตตาต่อทุกคน กระแสจิตเมตตานั้นเป็นอานุภาพน้อมจิตให้เขาเกิดความภักดีเชื่อถือ..."
หลวงพ่อพูดอย่างนี้ หลวงพ่อไม่ใช่นักพูด หรือนักธรรมที่อธิบายตามทฤษฎีเท่านั้น แต่หลวงพ่อพูดจากการปฏิบัติ
คราวหนึ่งที่วัดห้วยจระเข้ อำเภอเมืองนครปฐม มีภิกษุรูปหนึ่งบันดาลโทสะ เตะเด็กวัดตกกุฏิตายไปคนหนึ่ง พระครูอุดรการบดี เจ้าอาวาสจะจับสึกส่งตำรวจดำเนินคดี แต่พระองค์นั้นไม่ยอมสึก นั่งตาขวาง แสดงอาการบ้าดีเดือด ถืออาวุธจะทำร้ายคนที่จับสึก เผอิญหลวงพ่อเงินไปที่วัดนั้นพอดี พระครูอุดรการบดีจึงเล่าให้ฟัง หลวงพ่อเงินฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ พูดว่า ผมจะลองดู แล้วหลวงพ่อเงินก็เดินเข้าไปหาพระผู้นั้นอย่างเรียบร้อย ทำท่าเหมือนพระอุปัชฌาย์จะบวชพระ พระบ้าดีเดือดรูปนั้น มองดูหลวงพ่อเฉยอยู่ไม่ทำอะไร หลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ดูก่อน ภิกษุผู้เคยเจริญมาแล้วแต่หนหลัง ฉันทราบเรื่องของเธอดีแล้ว ว่าความจริงเป็นอย่างไร ขอให้เธอจงปลงใจเสียให้ตก ว่ามันเป็นกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อน ตามมาล้างผลาญตัดรอน อย่าได้คิดว่าใครมาสร้างเวรให้แก่เธอ ฉันรู้ว่าเธอเคยตั้งอยู่ในธรรมวินัย ประพฤติพรหมจรรย์มาด้วยความขาวสะอาด แต่วันที่จะเกิดเหตุนั้น เกณฑ์ชะตาของเธอจะหมดวาสนาได้รับใช้พระพุทธศาสนาเพียงแค่นั้น ขอให้ตัดใจรับกรรมไปก่อน ต่อเมื่อสิ้นเคราะห์กรรมแล้ว เกิดมาในชาติใดขอให้ได้ เข้าร่วมเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกันอีก ลาสิกขาบทเสียเถิดนะ..."
พระภิกษุบ้าดีเดือดรูปนั้น นั่งน้ำตาไหล ก้มศีรษะลงมาหาหลวงพ่อ ยอมให้หลวงพ่อปลดจีวรของเขาออกแต่โดยดี
ขอให้สังเกตว่า ที่หลวงพ่อชนะใจเขาได้ เพราะเมตตาบารมีและเพราะหลวงพ่อมั่นใจในบารมีของท่านเอง หลวงพ่อต้องมั่นใจใน "ดี" ที่มีอยู่ในตัว มิฉะนั้นหลวงพ่อจะไม่กล้าเข้าไปประกบกับคนบ้าดีเดือดที่มีอาวุธอยู่ในมือได้เลย
บอกคาถานักเลง
วันหนึ่ง มีนักเลงโตชื่อดัง อยู่ตำบลจินดา อำเภอสามพราน มาหาหลวงพ่อ เพื่อหาของดีคุ้มตัว เขาบอกว่า เขามักจะมีเรื่อง ต้องตีกับนักเลงก๊กอื่น ๆ อยู่เสมอ จึงมาหาหลวงพ่อเพื่อขอของดีไปคุ้มตัว
หลวงพ่อพูดว่า
"เอาคาถาไปใช้ดีกว่าของอย่างอื่น ขอให้จำให้ได้ขึ้นใจ ท่องภาวนาเวลาเกิดเรื่อง"
ชายนักเลงโต ก็ตั้งใจฟัง
หลวงพ่อก็บอกคาถาให้ 3 บท
"อยู่คง" ใช้เวลาเขาตีกัน เราอย่าไปเกี่ยว ให้คงที่ไว้
"ยิงไม่ออก" ใช้เวลาเขาจะยิงกัน เราไม่ออกไป
"ฟันไม่เข้า" ใช้เวลาเขาฟันกัน เราไม่เข้าไป
"ฉันรับรองว่าปลอดภัย ถ้าท่องจำได้ขึ้นใจ และปฏิบัติตามได้...."
ชายผู้นั้น จะผิดหวังหรือไม่ก็ไม่ทราบ เมื่อเขาลาจากหลวงพ่อไปในคราวนั้น
แต่อยู่ต่อมา เขาก็มาหาหลวงพ่ออีกหนหนึ่ง เข้ามากราบลงที่เท้าหลวงพ่อ เขาเล่าว่า เมื่อสองสามวันมานี้ ทางบ้านมีงานบวชนาค กินเหล้ากันแล้วก็เกิดเรื่องตีกันขึ้น เขานิ่งอยู่ นึกถึงคาถาหลวงพ่อขึ้นมาได้ว่า "อยู่คง-ยิงไม่ออก-ฟัน" จึงหยุดอยู่ พรรคพวกถูกตำรวจจับไปหมด แต่เขารอดตัว จึงคิดว่าคาถาหลวงพ่อนี้ขลังจริง ๆ
ปริศนายาฝิ่น
มีชายชาวตำบลแขมคนหนึ่ง มาหาหลวงพ่อเพื่อจะขอของดี เขาพูดกับหลวงพ่อว่า คนตำบลดอนยายหอมนี้ดี บ้านเรือนเป็นปึกแผ่น ทำมาหากินได้ร่ำรวย แต่คนบางแขมยากจนไม่ค่อยมีหลักฐาน เห็นจะเป็นด้วยตำบลบางแขม ไม่มีพระของหลวงพ่อบูชา
หลวงพ่อฟังแล้วก็ตอบว่า
"เอ้อ-โยมเอ๋ย ฉันก็สงสารคนตำบลบางแขมอยู่เหมือนกัน เพราะคนดี ๆ หายากมีแต่คนป่วยไข้ทั้งตำบล คนป่วยไข้จะทำมาหากินไม่ได้เหมือนเขา คนตำบลดอนยายหอมเขามีแต่คนดีไม่มีคนป่วยไม่เปลืองค่าหยูกยา มีแต่คนทำมาหากินจึงร่ำรวย..."
ชายผู้นั้นงง แล้วก็ถามว่า
"เอ-ผมไม่เห็นใครป่วยไข้ที่ไหน หลวงพ่อไปเอาที่ไหนมาพูดว่าเขาป่วยไข้กันทั้งตำบล ?"
หลวงพ่อหัวเราะ แล้วบอกว่า
"อ้าว-ไม่รู้หรือ ฉันเห็น เขากินยาทั้งตำบล ก็คิดว่าเขาป่วยไข้กัน ไม่ป่วยไม่ไข้ แล้วจะไปเข้ากินยาฝิ่นกันทำไมเล่าโยม..."
ปริศนาธรรม
วันหนึ่งมีชายเจ้าปัญหามาหาหลวงพ่อ เอาปริศนามาถามหลวงพ่อว่า
"สี่ น.หาม สาม นแห่
หนึ่งนั่งแคร่ สอง นนำทาง
หมายความว่าอะไร ?"
หลวงพ่อฟังจบแล้วก็ตอบว่า
"สี่ นหาม ได้แก่ ร่างกายของคนเรา ประกอบไปด้วย ธาตุทั้ง 4 คือดิน น้ำ ลม ไฟ"
"สาม นแห่ ได้แก่ แก่ เจ็บ ตาย คือ แห่ร่างกายไปสู่ป่าช้า"
"หนึ่งนั่งแคร่ ได้แก่ 'จิตใจของคนที่อยู่ในร่างกาย"
"สอง นนำทาง ได้แก่ บุญ กับบาป ใครทำบุญไว้ บุญก็จะนำไปสู่สุคติ สวรรค์ นิพพาน ใครทำบาปไว้ บาปก็จะนำไปสู่ทุคติ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน..."
ชายคนนั้น ได้ฟัง ก็หายเป็นคนเจ้าปัญหา มีความสลดใจในธรรมะที่หลวงพ่อสอนเขา โดยเอาปัญหาที่เขานำมาถามกลับย้อนสอนเขาเสียเลย.
ปริศนาเรื่องปลาโง่
วันหนึ่ง พ..ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับคณะ พร้อมด้วย นางนันทา บุญยประภัศร์ ได้พานักเรียนไปนมัสการหลวงพ่อที่วัด
มีคน ๆ หนึ่งในคณะนี้ได้ถามปัญหาหลวงพ่อว่า
"ปลาเป็นสัตว์มีชีวิต ศีลห้าก็ห้ามฆ่าสัตว์ แต่คนจับปลามาทำอาหาร ถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อฉันเนื้อปลารู้สึกอย่างไร ?"
หลวงพ่อยิ้ม ๆ ตอบว่า
"เฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไร เพราะฉันเนื้อปลา ก็เพราะคนเขาเอามาถวาย พระก็ต้องอาศัยอาหารชาวบ้านยังชีพ มันเป็นอาหารยังชีพ ก็ฉันไปเพื่อมีชีวิตอยู่ทำประโยชน์ให้แก่โลก"
หลวงพ่อเห็นเขานิ่งเงียบอยู่จึงถามว่า
"ปลากับคนนี่ใครจะโง่กว่ากัน ?"
"ปลาโง่กว่าคน เพราะถูกคนจับมากินเป็นอาหาร"
หลวงพ่อหัวเราะน้อยๆ แล้วพูดว่า
"คนที่โง่กว่าปลานะ" หลวงพ่อว่า
"ปลามันถูกคนหลอก เอาลอบ เอาเบ็ด ไปจับมันมา เพราะมันถูกหลอก แต่โยมลองไปยืนดูหน้าคุกซี ไม่มีใครหลอกเอาลอบ เอาไซ เอาเบ็ด ไปล่อไว้เลย ประตูคุกปิดตาย แต่ก็มีคนเดินเข้าคุกวันละหลาย ๆ คน"
ทุกคนได้ฟังก็พากันหัวเราะชอบใจ ในถ้อยคำของหลวงพ่อ
แล้วคนเจ้าปัญหาคนนั้นก็นิ่งเงียบไป
ปริศนาเฝือกสาม
ครั้งหนึ่ง ผู้บัญชาการเรือนจำ ได้นิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์ให้นักโทษฟัง หลวงพ่อก็เทศน์ เรื่อง เฝือกสาม ให้คนโทษฟังเป็นใจความว่า
"กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ = การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ นับว่าเป็นลาภอันหาได้ยากยิ่ง
กิจฉัง มัจจานะชีวิตัง = การมีชีวิตรอดจากความตายมาได้นี้ก็แสนยาก
ท่านทั้งหลายทั้งหมดนี้ นับว่าโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็มีชีวิตรอดตายมาได้ จนป่านนี้ ก็นับว่าเป็นโชคอันประเสริฐแล้ว
แต่การที่พวกท่านต้องเข้ามาเป็นนักโทษอยู่ในเรือนจำนี้ อาจเป็นเพราะกรรมเก่าติดตามมาเบียดเบียน ตัดรอนล้างผลาญ จึงต้องเข้ามาติดเฝือก ติดลอบ ติดไซ ให้ท่านไว้ในข้องนี้ เหมือนปลาที่ว่ายเข้ามาติดเฝือก ให้เขาจับได้เอามาขังไว้
เฝือกในโลกนี้มีอยู่ 3 เฝือก
เฝือกหนึ่งคือ เฝือกความโลภ เพราะโลภอยากได้ของเขา จึงต้องติดเฝือก
เฝือกสองคือ เฝือกความโกรธ ไม่มีขันติ ความอดทน ไปตีรันฟันแทงเขา จึงต้องติดเฝือก
เฝือกสามคือ เฝือกความหลง หลงว่าทำดีแล้ว แต่ที่จริงมันไม่ดี จึงต้องติดเฝือก
จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตัดเฝือกทั้ง 3 เสีย เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาบังคับจิตใจ ในระหว่างนี้ ขอให้ต้องอดทน สงบใจต่อสู้ไป จนกว่าจะพ้นโทษ ออกไปเป็นอิสระ อยู่ในโลกอันกว้างขวางต่อไป"
หลวงพ่อเทศน์ด้วยภาษาง่าย ๆ เปรียบเทียบให้เห็น ไม่ต้องใช้สำนวนโวหารอะไร แต่ก็เป็นที่เข้าใจซาบซึ้งแก่คนฟัง แม้ระดับนักโทษที่มีหัวใจมืดมนก็มองเห็นแสงสว่างได้
ปาฐกถาอวดของดี
เมื่อปี พ.. 2496 ทางคณะสงฆ์ภาค 7 ได้จัดให้มีการตรวจข้อสอบนักธรรมสนามหลวง ที่ลานพระปฐมเจดีย์ เมื่อตรวจเสร็จแล้ว สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สนิธ เขมจารีสมัยเป็นพระเทพเวที รองเจ้าคณะภาค 7 ได้จัดพระภิกษุจากจังหวัดต่าง ๆ ในภาค 7 ส่งผู้แทนจังหวัดขึ้นมาปาฐกถาอวดของดีในบ้านเมืองของตน จังหวัดไหนมีของดีอะไรให้นำเอามาพูดเป็นการแสดงปฏิภาณโวหารกัน เป็นที่สนุกครื้นเครงไปตามประสาของพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ในวงการของท่าน
จังหวัดสุพรรณ ก็คุยว่า สุพรรณเมืองขุนแผน นางพิมพิลาไลย เป็นคนเก่งคนสวย ขุนช้างก็เป็นคนรวย ใครไปสุพรรณสามวันก็รวย ขาไปขี่ม้า ขามาต้องขี่ควาย พระเครื่องผงสุพรรณก็เป็นพระดีมีค่า พระกำแพงศอกสุพรรณก็กันไฟได้
จังหวัดกาญจนบุรี ก็ลุกขึ้นมาคุยว่า มีบ่อพลอย มีน้ำตกไทรโยคไหลฉาดฉาน ไหลตระการเสียงดังจ้อก ๆ โครม ๆ มีนกยูงทอง มันร้องโด่งดังเสียงมันดังกระโต้งโห่ง ๆ แม้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินยังหลงใหลความงดงามธรรมชาติของเมืองกาญจน์
จังหวัดราชบุรี ก็ลุกขึ้นมาคุยมีคนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง ไม่มีคนโกงเหมือนเมืองเพชร ไม่มีคนเคว็ด เหมือนสุพรรณ มีถ้ำจอมพลสวยงาม
จังหวัดสมุทรสาคร ก็คุยว่ามีโป๊ะ มีปลาเป็นอาหารของชาวโลก มีพันท้ายนรสิงห์ ชื่อเสียงโด่งดัง
จังหวัดสมุทรสงคราม โดยท่านเจ้าคุณสมุทรโมลี ก็คุยว่า มีหลวงพ่อบ้านแหลม อันศักดิ์สิทธิ์ มีน้ำตาลมะพร้าว พริกบางช้าง เป็นเมืองต้นกำเนิดราชวงศ์จักรีของดีจากเมืองกาญจน์ เมืองราชบุรี ก็ไหลตามแม่น้ำแม่กลองไปรวมอยู่ที่สมุทรสงคราม
จังหวัดเพชรบุรี ก็คุยว่า มีต้นตาลมากมาย ถึงเมืองสุพรรณบุรี จะมีต้นตาลมากมายก็ยังมีน้อยกว่าเมืองเพชรบุรีอยู่อีกต้นหนึ่ง คือต้นยอดด้วน นอกนั้นก็มีข้าวเกรียบเมืองเพชร ขนมหม้อแกงเมืองเพชร เขาวังเมืองเพชร หาดเจ้าสำราญ หาดชะอำ มีถ้ำอันสวยงาม มีน้ำตกท่ายาง
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ท่านมหารูปหนึ่งรูปร่างล่ำ ๆ ขึ้นมาคุยว่ามีหาดทรายชายทะเลหัวหิน มีหนุ่มสาวชาวกรุง นุ่งน้อยห่มน้อย ไปเที่ยวกันบางทีก็มีฝรั่งมาอาบแดดน่าดูนักหนา แม้แต่พระราชาก็ยังมาสร้างพระราชวังไกลกังวลไว้ที่เมืองนี้
พอถึงจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นเจ้าบ้าน แทนที่จะคัดเลือกเอาพระมหาเปรียญ นักเทศน์ผู้ปราดเปรื่อง คล่องแคล่ว คารมโวหารดีขึ้นพูดแข่งกับเขา กลับเลือกเอาพระภิกษุแก่ชรารูปหนึ่งขึ้นมาพูด พระภิกษุแก่ชราองค์นั้น อายุ 63 ปีแล้ว คือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
หลวงพ่อเงินพระภิกษุวัยชรา ร่างใหญ่ ห่มจีวรสีคล้ำเป็นแก่นขนุนลุกงุ่มง่ามขึ้นมาหน้าไมโครโฟน พนมมือหลับตาว่าคาถาอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ขณะนั้นผู้เขียนฟังอยู่ด้วย นึกในใจว่า หลวงพ่อเงิน แย่คราวนี้เอง จะไปพูดสู้พระมหาเปรียญเขาได้หรือ ?
หลวงพ่อเงินเอ่ยขึ้นว่า
"ข้าแต่ท่านทั้งหลาย !"
ประโยคแรกเท่านั้น ที่ประชุมหัวร่อฮาลั่นเลย
"นครปฐมเป็นเมืองเก่า" (ฮา)
"เป็นเมืองของคนแก่" (ฮา)
"เขาก็เลยเลือกเอาคนแก่มาพูด" (ฮา ๆ ๆ)
"มันช่างเหมาะสมกันดีแท้ ๆ " (ฮา ๆ ๆ ๆ)
"นครปฐมเป็นเมืองดี เพราะมีพระปฐมเจดีย์" (ฮา)
"นครปฐมเป็นเมืองดี เพราะเดิมชื่อว่าเมืองทวาราวดี" (ฮา)
"นครปฐมเป็นเมืองดี เพราะเดิมเขาเรียกว่า สุวรรณภูมิ แปลว่า ทองดี" (ฮา)
"นครปฐมเป็นเมืองดี เพราะเดิมเป็นที่ตั้งของเมืองนครไชยศรี แปลว่า ที่มีชัยชนะอันดี"
(ที่ประชุมฮาตึงเลย)
"นครปฐม เป็นเมืองดี เพราะพระโสณเถระ พระอุตระเถระ อันเป็นพระสาวกชั้นดี ได้นำเอาพระพุทธศาสนาอันดี มาเผยแพร่ด้วยดี ก็เลยต้องเลือกเอาเมืองดี พระโสณพระอุตระเลือกเอาเมืองนครปฐมเป็นเมืองแรกที่เผยแพร่ของดี เมืองนครปฐมจึงต้องยืนยันว่าเป็นเมืองดี"
ที่ประชุม ฮากันอยู่นานตอนนี้
"นครปฐม เป็นเมืองดี เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใหญ่โต และสูงที่สุดในเมืองไทยอันเราได้มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ คือ พระปฐมเจดีย์ (ตอนนี้พระถึงแก่ตบมือกราวใหญ่)
ใคร ๆ ฟังแล้วก็ต้องยอมรับกันว่าเป็นปาฐกถาที่สั้นที่สุด มีสาระที่สุด น่าฟังที่สุด มีคารมคมคายเฉียบแหลมที่สุด ผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วม เกิดอารมณ์ขันมากที่สุด ไม่มีปาฐกถาของผู้ใดจะเสมอเหมือน เป็นตัวอย่างของนักพูด นักปาฐกถาที่น่าศึกษาที่สุด ที่หลวงพ่อเงินใช้เวลาพูดด้วยท่วงทำนองจังหวะลีลาอันอ่อนน้อม เหมือนฟังดนตรี ด้วยน้ำเสียงอันกังวานแจ่มใสไพเราะเสนาะโสตอย่างน่าอัศจรรย์.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น