๑๙. คาถาศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ
?
นายชื่น ทักษิณานุกูล เล่าว่า
เคยถามหลวงพ่อเป็นส่วนตัวว่า
"คาถาอาคมเป็นเรื่องนอกพระพุทธศาสนาหรือไม่"
หลวงพ่อตอบว่า
"ไม่ขัดกับพระพุทธศาสนา เพราะคาถาที่ใช้คือพระพุทธมนต์ ขึ้นว่า 'นะโม' ไม่ได้ขึ้นต้นว่า 'โอม' อันหมายถึง พระเจ้าทั้ง 3 ในศาสนาพราหมณ์
คือ พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร"
ถึงแม้จะมีคาถาบางบทขึ้นว่า โอม ก็หมายถึง อะ-อุ-มะ ของพุทธศาสนา คือ อะ หมายถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุ หมายถึง อุตมธรรม และ มะ หมายถึง มหาสงฆ์ คือพระรัตนตรัย..."
"คาถามีไว้สำหรับภาวนา ให้จิตเกิดเป็นสมาธิ เมื่อจิตเกิดเป็นสมาธิ
เป็นเอกัคคตา คือ เป็นหนึ่งอย่างยิ่งแล้ว ย่อมเกิดมีพลังแรง เมื่อจิตมีพลังแรงแล้วย่อมเกิดอิทธิฤทธิ์อำนาจ
แล้วใช้อำนาจจิตได้ตามความปรารถนา..."
"ในเรื่องอำนาจทางจิตก็มีกล่าวไว้ในเรื่อง อภิญญา 6 ประการ คือ
ญาณอันยิ่งหรือ วิชชา 8 ประการ
ในพระพุทธศาสนา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ก็เพราะมีอภิญญา มีวิชชา 8 ประการ..."
อันที่จริง ปัจจุบันนี้
ผู้ได้ศึกษาเรื่องอำนาจของจิต ไม่มีใครสงสัยอะไรในอำนาจของจิตต่อไปแล้ว
รวมทั้งพระสุปฏิปันโน พระนักปฏิบัติ ก็ไม่มีใครสงสัยแคลงใจในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์
เพราะพระอริยบุคคล ย่อมมี "อุตริมนุสธรรม" คือ ธรรมอันเหนือมนุษย์สามัญ เพียงแต่ว่าพระพุทธองค์มิให้อวดอุตริมนุสธรรมเท่านั้น (มีได้แต่ห้ามอวด)
เขาว่าดีนัก
ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะได้สร้างพระเครื่องขึ้นมาแล้วหลายรุ่น
แต่หลวงพ่อก็สร้างขึ้นด้วยเจตนาดี ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
มีเมตตาตั้งใจจะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นภัย พ้นทุกข์ มีที่พึ่งทางใจ
อันจะแลเห็นได้เป็นวัตถุ ตามประสาปุถุชน ซึ่งยังมีทุกข์ และต้องการที่พึ่ง
เพราะว่าเพียงแต่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ หรือพระธรรมในคัมภีร์ทั้ง 7 คัมภีร์
หรือพระสงฆ์ที่นุ่งห่มเหลืองอร่ามเห็นอยู่ตามวัดทั่วไป ก็ไม่สามารถจะช่วยทุกข์
อันว่า ทุกข์ก็ดี ภัยก็ดี โรคก็ดี
ทั้ง 3 อย่างนี้ย่อมจะมีประจำอยู่
เมื่อมีทุกข์ภัยมาถึงตนหรือบุตรภรรยาสามีอันเป็นที่รัก
ก็ย่อมตะเกียกตะกายแสวงหาที่พึ่งด้วยกันทั้งนั้น หลวงพ่อมองไม่เห็นทางอื่น
นอกจากจะต้องทำตัว หรือสร้างเครื่องสื่อสาร อันเป็นวัตถุสำหรับให้เขาใช้เป็นที่พึ่ง
อันจะแลเห็นได้ จับต้องได้ ลูบคลำได้ พกติดตัวได้ และถ้าเขายึดเอาเป็นที่พึ่งจริง
ๆ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจริง ๆ แล้ว ก็เป็นที่พึ่งได้จริง ๆ ด้วย
เรื่องนี้ย่อมเป็น "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ" คือ รู้เห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ด้วยอาศัยการบอกเล่าของคนอื่น ต้องประสบด้วยจิตใจของตนเอง
จึงจะเกิดความศรัทธามั่นใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลวงพ่อจะเชื่อมั่นในใจว่า
พระเครื่องของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง สำหรับผู้นับถือจริง
แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยคุยโอ้อวดแก่ใครเลย
อย่างมากก็เพียงแต่บอกว่า
"เขาเอาไปใช้ว่าดีนัก..."
"มีพระอยู่กับตัวนั้นดี จะได้นึกถึงพระ จิตใจจะได้เป็นพระ..."
ถ้าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อก็พูดอะไรเป็นพิเศษ
เช่นพูดกับผู้เขียนว่า
"พ่อสร้างพระเมตตาไว้ ไปเอานะ..."
แม้เรื่องอภินิหาร ซึ่งหมายความว่า "อำนาจแห่งฌานสมาบัติไว้แสดงพลัง..." หลวงพ่อก็ไม่เคยพูดกับคนอื่น
ถ้าอารมณ์ดีมีโอกาสก็จะแสดงอะไรให้ศิษย์เห็น
และมั่นใจ นายชื่นเล่าว่า
วันดีคืนดีหลวงพ่อก็ชวนเข้าไปในห้องสองต่อสอง ชี้ให้ดูน้ำในขวดโหล ท่านนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง ก็เกิดเป็นตัวกุ้งขึ้นมาเล็กๆ เท่าเม็ดข้าวสาร ท่านเสกข้าวสารเป็นกุ้งได้ แต่ไม่เคยแสดงให้ใครดุเลย
เรื่องอย่างนี้
ข้าพเจ้าเคยเห็นจากพระภิกษุรูปหนึ่งอยู่วัดใหม่ศรัทธาธรรม
บอกให้เอาดอกเข็มสีขาวไปให้ท่าน ท่านใส่ปากอมไว้พักหนึ่ง แล้วก็คายออกมาเป็นตะกรุด
เงินดอกเล็ก ๆ ว่าตะกรุดสาลิกา ข้าพเจ้าไม่ค่อยเชื่อ นึกว่าท่านเล่นกลให้ดู
แต่ก็ไม่รู้ว่าอย่างไร เห็นกับตาอย่างนั้นจริง ๆ ต่อหน้าเพื่อนครูอีก 2 คน
ชื่อนายสมคิด กลันกลั่ง อีกคนหนึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดศรีศรัทธา
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น