วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอนที่ ๒๐ พระโพธิสัตว์

๒๐. พระโพธิสัตว์
วันหนึ่งผู้เขียนไปหาท่าน คุย ๆ ไปท่านก็แบมือให้ดูพูดว่า
"ดูมือฉันสิ มันแปลก ไม่มีข้อ"
ข้าพเจ้ามองดูก็แปลกใจเพราะไม่มีข้อพับ คือไม่มีรอยเป็นของพับเหมือนมือคนทั่ว ๆ ไป มันลื่นไปเหมือนลำเทียนอย่างนั้นแหละ
"เขาว่าลักษณะมือเหมือนพระโพธิสัตว์มาบำเพ็ญบารมี" หลวงพ่อพูด แล้วก็ยิ้ม มองตาข้าพเจ้าเป็นประกาย
ฟังดูเหมือนว่าหลวงพ่อเชื่อว่า ตัวท่านคือพระโพธิสัตว์ เกิดมาสร้างบารมี เพื่อบรรลุอรหันต์สัมมาสัมโพธิญาณ อย่างที่พระเจ้าตากสินท่านก็เคยตรัสว่า "ถ้าจะได้ตรัสพระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณ ขอให้ขว้างค้อนไปถูกเฉพาะระฆัง แล้วจะเอาไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ"
เมื่อท่านขว้างค้อนไปถูกตรงนั้นจริง ๆ ต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ ท่านก็ยิ่งเชื่อมั่นว่า ท่านนั้นคือพระโพธิสัตว์เกิดมาสร้างพระบารมี ท่านจึงบำเพ็ญพระจริยาวัตร เป็นพระโพธิสัตว์อยู่ตลอดพระชนม์ชีพ ขอให้ไปอ่านพระราชพงศาวดารดูเถิด
อันที่จริง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย ที่หลวงพ่อเงินเชื่อว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อุบัติเกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพราะพระพุทธศาสนานิกายพระโพธิสัตว์นี้ คือ นิกายดั้งเดิม ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ และทรงเน้นไว้มากด้วย ทรงเล่าว่าพระพุทธองค์ก็เคยเกิดเป็น พระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีมาแล้วหลายร้อยชาติ เคยเกิดมาในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ แม้ชาติใหญ่ ๆ 10 ชาติ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีทั้งสิ้น คือ
1. พระเตมีย์
(เต)
บำเพ็ญ
เนกขัมมะบารมี
(เน)
2. พระมหาชนก
(ชะ)
"
วิริยะบารมี
(วิ)
3. พระสุวรรณสาม
(สุ)
"
เมตตาบารมี
(เม)
4. พระเนมิราช
(เน)
"
อธิษฐานบารมี
(อะ)
5. พระมโหสถ
(มะ)
"
ปัญญาบารมี
(ปะ)
6. พระภูริทัต
(ภู)
"
ศีลบารมี
(สิ)
7. พระจันทกุมาร
(จะ)
"
ขันติบารมี
(ขะ)
8. พระนารท
(นา)
"
อุเบกขาบารมี
(อุ)
9. พระวิฑูรบัณฑิต
(วิ)
"
สัจจะบารมี
(สะ)
10. พระเวสสันดร
(เว)
"
ทานบารมี
(ทา)
ทั้ง 10 ชาติ 100 ชาติ 500 ชาติ ที่เคยอุบัติเกิดมาตั้งแต่สัตว์น้อย ๆ ขนาดนกกระจาบ ถึงสัตว์ใหญ่ เป็นช้างฉัททันต์ ล้วนแต่ทรงเกิดมาบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ 30 ทัศ ทั้งสิ้น
พุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย แต่โบราณกาลมา ก็เน้นเรื่องนิกายพระโพธิสัตว์นี้ ขอให้ไปอ่านดู เรื่องไตรภูมิพระร่วงก็ดี พระมาลัยเทพสูตรก็ดี พระปฐมสมโพธิคาถาก็ดี ล้วนแต่ย้ำและเน้นเรื่องพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น
คือสอนเน้นย้ำว่า ชีวิตไม่ได้ตายแล้วสูญ ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลง เมื่อตายร่างกายแตกดับตอนเข้าโลงเท่านั้น ยังมีชีวิตสืบต่อไปเกิดในชาติ ภพหน้า ภูมิหน้า โลกหน้าอีก ไม่รู้จักสิ้นสุด
ชีวิตชาตินี้ เกิดมาจากผลบุญผลกรรมที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน
ชีวิตชาติหน้า เกิดจากผลกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ คนจะไปเกิดดีเกิดชั่วอย่างไร ก็อยู่ที่ผลกรรมในชาตินี้ ผลบุญในชีวิตนี้ คนเกิดมาใช้กรรมเก่า เกิดมากินบุญเก่า
ทุกคนจึงเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ถ้าตั้งใจปรารถนา ตั้งปณิธานว่า จะเกิดมาเพื่อ บำเพ็ญบารมี 10 ประการคือ
1. ทานบารมี         บำเพ็ญทาน
2. ศีลบารมี           สมาทานศีล
3. เนกขัมมบารมี    ออกบวช
4. ปัญญาบารมี      ทำวิปัสสนาภาวนา
5. วิริยบารมี          พากเพียรบำเพ็ญตบะ
6. ขันติบารมี         อดทน อดกลั้นอย่างยิ่ง
7. สัจจบารมี          ถือสัจจะ
8. อธิษฐานบารมี    ตั้งใจมั่นยิ่ง ไม่ยอมถอย
9. เมตตาบารมี       มีเมตตาต่อสรรพสัตว์
10. อุเบกขาบารมี     ทำใจเป็นกลางในสิ่งทั้งปวง
แม้พระเจ้าตากสินมหาราช
แม้พระพุทธยอดฟ้ามหาราช
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ท่านก็คือพระองค์ผู้ทรงเชื่อมั่นด้วยศรัทธาว่าพระองค์คือพระโพธิสัตว์อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี ในชาติสุดท้ายจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณ
ขอให้ไปศึกษาพระราชพงศาวดารดูลึก ๆ ศึกษาพระราชโองการ พระราชดำรัส พระราชจริยาวัตรดูเถิด ท่านล้วนแต่บำเพ็ญบารมี 10ประการทั้งสิ้น
ท่านมิได้เคยคิดว่าชีวิตของท่าน จะสิ้นสุดลงเมื่อสวรรคตเท่านั้น ท่านเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ชีวิตของพระองค์ท่านยังต้องเวียนว่ายกลับมาเกิดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ท่านทราบว่าพระพุทธเจ้าในอดีตมีมากมายหลายพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงออกพระนามไว้ก็มีอยู่ถึง 28 พระองค์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสร้างพระพุทธรูปประธานไว้ในโบสถ์วัดอัปสรสวรรค์ถึง 28 องค์   นี่คือพระพุทธศาสนานิกายพระโพธิสัตว์ที่เป็นนิกายสยามวงศ์ มาแต่สมัยกรุงสุโขทัย
พึ่งจะมาจืดจางไปก็สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรมในประเทศไทย ทำให้พระพุทธศาสนานิกายพระโพธิสัตว์ของสยามผันแปรไปในหมู่นักศึกษาพระปริยัติธรรม
แต่ในหมู่พระนักปฏิบัติและชาวบ้านทั่วไปยังไม่จืดจาง ยังเชื่อมั่นกันอยู่ในหมู่พุทธศานิกชนทั่วไป
เพราะถ้าถือลัทธิสุญญตา ชีวิตสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเมื่อตายแล้ว ก็เลิกนับถือพุทธศาสนากันได้ หันไปนับถือลัทธิฮินดูกันดีกว่า เพราะลัทธิฮินดูก็ยังมีสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตสุดท้ายเป็นอมตะ คือไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ ซึ่งเป็นอมตะ
ความจริงพระนิพพานของพุทธศาสนา ก็คือพระอมตมหานิพพาน แปลว่า "พระนิพพานอันเป็นอมตะอย่างยิ่ง" ท่านไม่ว่านิพพานสูญอะไรเลย แปลกันไปอย่างเพ้อเจ้อตามประสาจินตนาการเอาเอง โดยไม่เชื่อคำตรัสของพระบรมศาสดาแท้ ๆ ว่า "พระนิพพานดับไม่เหลือ..."   ผู้เขียนเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเงิน จึงเชื่อลัทธินิกายพระโพธิสัตว์
ผู้เขียน เชื่อว่า พระนิพพาน คือ "ว่างจากเบญจขันธ์" คือ ว่างจาก รูปเวทนาสัญญาสังขาร 4 ขันธ์ แต่ยังมีวิญญาณขันธ์ คือว่างจากรูป แต่ไม่ว่างจากนาม ว่างจากสสาร ไม่ว่างพลังงาน พลังงานยังมีอยู่คู่โลกธาตุนี้.
ผู้เขียนนับถือพระคาถาของหลวงปู่ทวดที่ว่า
"นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา"
ผู้เขียนเชื่อพระคาถาของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณที่ท่องภาวนาว่า
"นะโมโพธิญาโณ ปณิธานะโต โหตุ สัพพะทา"
ผู้เขียนเชื่อถือพระคาถาของฝ่ายมหายานที่ว่า
"นะโม โพธิสัตโตมหาสัตโต อะวะโลกิเตศวร"
ใครนับถือพระพุทธศาสนาลัทธินิกายพระโพธิสัตว์ก็จงท่องภาวนาคาถาข้างบนนี้เถิด
ท่านจะไปเกิดใหม่ เป็นพระโพธิสัตว์ มีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการสั่งสมบารมี ก็จะเกิดภพภูมิที่ดี มีความสุข ไม่ถูกข่มเหงรังแก ให้ได้ความคับแค้น ยากเข็ญในชีวิต
ตามประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสีนั้น ท่านเล่ากันว่า มีหมอนวดฝีมือดีคนหนึ่งไปนวดท่าน นวด ๆ ไปก็คลำพบว่า กระดูกแขนท่อนล่างของท่านนั้น มีชิ้นเดียว ไม่มีกระดูก 2 ชิ้นคู่เหมือนกระดูกแขนของคนทั่วไป หมอนวดคนนั้นจึงจับขย้ำอยู่นาน จะถามท่านก็ไม่กล้าถาม
สมเด็จท่านจึงถามว่า "เป็นหมอนวดมากี่ปี ?"
"สิบกว่าปีแล้ว !" หมอนวดตอบ
"เคยเห็นคนมีกระดูกแขนชิ้นเดียวมั้ย ?" สมเด็จถาม
"ไม่เคยพบเลย"
"ถ้าพบก็จงรู้เถิดว่า นั่นแหละคือพระโพธิสัตว์มาบำเพ็ญบารมี"
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตท่านก็เชื่อว่า ตัวท่านคือพระโพธิสัตว์อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี เป็นที่พึ่งแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
หลวงพ่อเงินท่านไม่มีรอยข้อพับที่นิ้วมือ นิ้วมือลื่นไปตลอดเหมือนลำเทียน ท่านจึงเชื่อว่าท่านคือพระโพธิสัตว์ อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งปวง
ข้าพเจ้าเคยเห็นข้อนิ้วมือของหลวงพ่อเงิน ไม่มีรอยพับนิ้วมือเรียบเหมือนลำเทียน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น