๑๗.
อภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อเงิน
นายชื่น
ทักษิณานุกูล
ลูกศิษย์และลูกบุญธรรมของหลวงพ่อเงินคนนี้ เขาเล่าว่า
คราวหนึ่งเขาล่องแพไปตามลำแม่น้ำน้อยที่แควใหญ่เมืองกาญจน์ เกิดอุบัติเหตุแพแตกถูกน้ำซัดไปหมดสติ เขามีพระเครื่องหลวงพ่อเงินแขวนคออยู่ เขาก็นึกถีงหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อช่วยลูกด้วย” แล้วก็หมดสติไป มารู้สึกตัวว่ามานอนอยู่บนตลิ่ง ริมชายหาด
เขาจึงรอดตัวมาได้อย่างอัศจรรย์ที่สุด
เมื่อเขากลับมาหาหลวงพ่อ
เขาก็เล่าให้หลวงพ่อฟัง
ถึงวันเวลาที่ตกอยู่ในห้วงอันตรายในชีวิต
หลวงพ่อฟังแล้วก็พูดว่า วันนั้นหลวงพ่อก็นึกถีงนายชื่นเหมือนกัน เห็นหน้าไวๆ อยู่ในจิตนิมิต ก็เพ่งกระแสจิตแผ่เมตตาถึงนายชื่น นายชื่นฟังแล้วก็ขนลุกทั้งตัว
นอกจากคราวนั้นแล้ว ต่อมาทุกครั้งที่คับขันอับจน
เขาก็จะนึกถึงหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อช่วย
หลวงพ่อจึงเป็นสรณะอันแท้จริงในชีวิตของเขา
สมเด็จป๋า วัดโพธิ์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น) วัดพระเชตุพน
สมัยยังเป็นพระธรรมวโรดม ได้เล่าให้ น.ส.แอ๊ด กลกิจ คหบดีจังหวัดนครปฐมฟัง เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503 ว่า
ท่านได้ไปในงานทำบุญครบ 5 รอบ 60 ปี ของหลวงพ่อเงิน เมื่อปี พ.ศ. 2493 ทางวัดได้ถวายพระเครื่องหลวงพ่อเงินให้องค์หนึ่ง เป็น พระผงสีดำ ท่านก็รับไว้
ครั้นเมื่อกลับไปถึงวัดก็ล้วงย่ามจะเอาพระที่ได้จากวัดดอนยายหอมไปไว้ที่โต๊ะบูชา
แต่ค้นหาเท่าไรก็ไม่พบ แต่เอาของอื่น ออกหมดย่าม จนลงมือเอาย่ามสะบัดก็ไม่มี
ก็เลยปลงใจว่าคงหายเสียแล้ว
ครั้นอยู่ต่อมาท่านล้วงย่ามอีก
ใจก็นึกถึงพระเครื่องหลวงพ่อเงินที่หายไป ว่ามันหายไปได้ยังไง แต่คราวนี้เหมือน ปาฏิหาริย์
พระหลวงพ่อเงินติดมือขึ้นมาจากย่ามได้ ท่านก็เลยนึกในใจว่า
พระหลวงพ่อเงินคงอยากอยู่ในย่าม จึงได้ใส่ในย่ามไว้ตามเดิม
ในงานวัดใหม่ประตูน้ำราชบุรี
ในระหว่างที่กำลังสวดมนต์อยู่ ได้ยินพระภิกษุรูปหนึ่งสวดมนต์เสียงดัง
ชัดเจนดีก็ชอบใจ พอสวดเสร็จก็เรียกเข้ามาหา ถวายย่ามให้เป็นรางวัลแก่พระรูปนั้นไป
ครั้นแยกกันไปแล้ว ก็นึกได้ว่า
พระเครื่องหลวงพ่อเงินองค์นั้นติดย่ามไปด้วย ก็รู้สึกเสียดาย
เพระเป็นพระที่มีอภินิหารชอบกลอยู่ จึงเที่ยวตามหาพระภิกษุรูปนั้นก็ไม่พบ
ถามใครก็ไม่มีใครรู้จักว่าอยู่วัดไหน จึงรู้สึกเสียดายมาก
พอตกกลางคืน
ขณะที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่กับแขกเหรื่อในปะรำโรงพิธี
ท่ามกลางแสงไฟที่สว่างไสวนั่นเอง มีวัตถุชิ้นหนึ่งบินมาตกแป๊ะลงที่หัวเข่า
จึงตกใจนึกว่าเป็นจิ้งจก หรือแมงเหนี่ยง จึงสะบัดตกลงไปที่พื้น
แต่ครั้นก้มลงมองดูว่าเป็นอะไร ก็ปรากฏว่าเป็นพระเครื่องผงสีดำของหลวงพ่อเงินที่ติดย่ามใบที่ถวายพระเสียงดังองค์นั้นไปเมื่อตอนหัวค่ำนั้นเอง
สมเด็จป๋า ได้ประจักษ์อภินิหารด้วยตนเองดังนี้
จึงเชื่อถือพระเครื่องหลวงพ่อเงินแต่นั้นมา ภายหลังเมื่อสมเด็จป๋าสร้างพระเครื่อง "สมเด็จแสน" แจกบ้าง จึงได้นิมนต์หลวงพ่อเงินไปปลุกเสกด้วย
พระสมเด็จแสน ของสมเด็จป๋าวัดโพธินี้
ข้าพเจ้าได้รับแจกจากท่านองค์หนึ่ง เป็นพระเครื่องสามเหลี่ยม แบบพระนางพญาพิษณุโลก
ที่เรียกสมเด็จแสน เพราะสร้าง 100,000 องค์ เป็นพระที่มีปาฏิหาริย์เหมือนกัน คนที่เป็นลูกศิษย์สมเด็จป๋า
เลื่อมใสกันทุกคน สมเด็จป๋า เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
นายสุรินทร์ นาทวรทัต
เมื่อ พ.ศ. 2504 มีเรื่องเศร้าและสยดสยองเกิดขึ้นที่จังหวัดนครปฐม
โดยรถยนต์โดยสารคันหนึ่งแล่นตัดหน้ารถไฟ ที่ทางแยกถนนมาลัยแมน จะไปอำเภอกำแพงแสน
มีรถไฟขบวนหนึ่งแล่นจากทางใต้จะเข้ากรุงเทพฯ คนที่นั่งในรถยนต์ตะโกนว่า "รถไฟมา ๆ" แต่เด็กกระเป๋าท้ายตะโกนบอกคนขับว่า "ไป - พ้น" คนในรถยนต์คนหนึ่งตะโกนว่า "ไม่พ้นๆ" คนขับจะลังเลใจหรือไม่เห็นรถไฟ
จึงขับรถยนต์แล่นตัดหน้ารถไฟ จึงถูกรถไฟชนตูมเข้า
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวคนโดยสารตายทันทีหลายคน บาดเจ็บ อีกหลายคน
แต่คนที่ร้องตะโกนว่า ไม่พ้น ๆ นั้น บาดเจ็บสาหัส ส่งโรงพยาบาลแล้วก็ยังร้องว่า "ไม่พ้น ๆ ๆ" จนกระทั่งขาดใจ
คนที่โดยสารรถยนต์คันนั้น มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อคุณสุรินทร์
นาทวรทัต ปลัดอำเภอเมืองนครปฐม นั่งรถคันนั้นจะไปทัพหลวง
เขานั่งอยู่ด้านซ้ายที่รถไฟชนพอดี แต่ไม่ทราบเป็นอย่างไร จึงกระเด็นออกนอกรถยนต์มานอนอยู่ที่พื้นดิน
ห่างจากรถยนต์คันนั้นมาก พอได้สติก็ลุกขึ้นตรวจดูร่างกายว่าบาดเจ็บที่ไหนบ้าง
ก็ไม่ปรากฏว่าบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่คนที่นั่งเคียงข้างเขาตายทั้งคู่
เขาจึงเดินทางกลับบ้าน เล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟัง พ่อของเขาคือ นายหิรัญ นาทวรทัต
ผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม ทุกคนก็ลงความเห็นว่า
ที่เขาปลอดภัยเพราะมีเหรียญหลวงพ่อเงินคล้องคออยู่
รุ่งเช้า นายสุรินทร์ นาทวรทัต
ก็ไปหาหลวงพ่อที่วัดดอนยายหอม กราบนมัสการแล้วเล่าให้หลวงพ่อฟัง
แล้วขอให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์เรียกขวัญที่หนีดีฝ่อไปกลับคืนมา
หลวงพ่อก็รดน้ำมนต์ให้ตามความประสงค์
ก่อนกลับหลวงพ่อได้พูดกับเขาว่า
"คนที่นับถือพระนั้น
บางทีคุณพระก็คุ้มครองได้จริง ๆ "
นายสุรินทร์ นาทวรทัต
เป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัยร่วมโรงเรียนกับ นายชื่น ทักษิณานุกูล
และข้าพเจ้าผู้เขียนเรื่องนี้ บิดาของเขาเป็นเจ้านายเก่าของผู้เขียน คือนายหิรัญ
นาทวรทัต อาของเขาคือ ครูไชย นาทวรทัต เป็นครูของผู้เขียน.
หญิงชราถูกปล้น
หญิงชราชาวลาวโซ่งคนหนึ่ง ได้มาหาหลวงพ่อเล่าว่า
นางเคยเป็นชาวจังหวัดนครปฐม ได้อพยพไปทำมาหากินอยู่ที่จังหวัดพิจิตร
เมื่อนางจะเดินทางไปอยู่จังหวัดพิจิตรนั้น
ได้เคยมาหาหลวงพ่อขอพระเครื่องไปคุ้มครององค์หนึ่ง นางก็เก็บติดตัวเสมอ
ก่อนนอนก็สวดมนต์ระลึกถึงหลวงพ่ออยู่เสมอไม่ขาด คราวหนึ่งถูกโจรปล้นบ้าน
นางหนีไม่พ้น แต่มีสติดีระลึกถึงหลวงพ่อ แล้วก้มหน้าลงกราบหลวงพ่อ
มือกำพระเครื่องหลวงพ่อไว้แน่น ฟุบหน้าลงกับพื้น
นึกเหมือนว่านั่งหมอบกราบหลวงพ่ออยู่ตรงหน้ากุฏิหลวงพ่อ
หลับตามองเห็นหลวงพ่อนั่งเคี้ยวหมากอยู่ตรงหน้า
ฝ่ายพวกโจรก็ค้นบ้านโครมครามอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ของมีค่าอะไรก็เตรียมกลับไป
ได้ยินเสียงมันบ่นว่า
"นี่เจ้าของบ้านมันไปไหนหมด ?"
แล้วมันก็ลงเรือนเงียบหายไป
น่าประหลาดก็คือ วันรุ่งขึ้น
มันกลับมาเอาเชี่ยนหมากที่มันถือติดมือไป เอามาโยนทิ้งคืนไว้ที่หน้าบ้านด้วย
หลวงพ่อฟังหญิงชราคนนั้นเล่าจบแล้ว ก็ตอบว่า
"ศรัทธา ความยึดมั่นถือมั่น
โดยระลึกถึงคุณพระด้วยความเชื่อมั่น คุณพระจึงบันดาลให้โจรมองไม่เห็นโยม เมื่อมันกลับไปเห็นว่าในเชี่ยนหมากไม่มีเงินทอง
มันก็เลยเอามาคืนให้..."
หลวงพ่อเงินเล่า
เรื่องทั้งหมดที่เล่าประกอบเรื่องพระเครื่องของหลวงพ่อเงินนั้น
เป็นเรื่องของคนอื่น ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง
จึงขออนุญาตออกชื่อไว้ให้ปรากฏเป็นหลักฐาน สำหรับผู้สนใจ จะได้ทราบข้อเท็จจริงต่อไป
ไม่ใช่เรื่องโฆษณาขายพระเครื่อง หรือโฆษณาชวนเชื่อชื่อเสียงของหลวงพ่อเงิน
เพราะบัดนี้หลวงพ่อเงินก็ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 นับจนถึงปีที่เขียนเรื่องนี้ พ.ศ. 2529 ก็ 10 ปีเต็มแล้ว
จึงไม่ได้เขียนเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ตามที่บางท่านอาจจะสงสัย
แต่ผู้เขียนขอเล่าเรื่องที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง
คือเมื่อประมาณ ปีพ.ศ.
2516 หลวงพ่อเงินได้รับกิจนิมนต์ไปนั่งเป็นประธานในงานผูกพัทธสีมาวัดลาดเป้ง
ผู้เขียนเรื่องนี้ได้นั่งรถยนต์กลับจากจังหวัดนครปฐมกับหลวงพ่อ
ในระหว่างนั่งอยู่ในรถยนต์ด้วยกัน ตอนเบาะท้ายรถ
หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังในฐานะครูอาจารย์กับลูกศิษย์
หลวงพ่อเล่าว่า
คราวหนึ่งได้นั่งแท็กซี่ไปจังหวัดลพบุรี ไปด้วยกัน 2 คัน
หลวงพ่อนั่งคันหลัง คนที่ไปด้วยนั่งคันหน้า แล่นไปในระหว่างทางเวลากลางคืน
ก็ถูกคนร้ายดักปล้นจี้แท็กซี่ เมื่อไม่ยอมให้เงินมัน มันก็ยิงเอา 2-3 นัด คนที่ถูกยิงก็สลบไป คือตกใจจนสลบไม่ได้สติ
หลวงพ่อนั่งไปคันหลังจึงส่งกระแสจิตไปช่วยคุ้มครอง รถคันหน้าแล่นหนีไป
มาถึงรถหลวงพ่อ มันไม่ยิง เพราะมันเห็นเป็นพระภิกษุนั่งอยู่ มันก็ไม่ยิง
เมื่อพ้นอันตรายแล้ว คนขับก็หยุดดูอาการของคนที่ถูกปล้นแล้วถูกโจรยิง
เขาฟื้นสติขึ้นมา ลุกขึ้นลูกปืนก็หลุดออกมาจากรักแร้ ในเสื้อผ้า 3 ลูก แต่ไม่เข้า ไม่มีบาดแผลที่ไหนเลยมีแต่ลูกปืน 3 ลูก
หลวงพ่อเล่าแล้วก็หัวร่อ ผู้เขียนก็ได้แต่นั่งฟัง
ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะผู้เขียนเชื่อศีลธรรม คุณธรรมของหลวงพ่อ หลวงพ่อทรงศีลทรงคุณธรรม
อยู่เต็มตัว จะคุยเรื่องโกหกหลอกลวงให้ฟังทำไม เพื่อประโยชน์อะไรเล่า ?
แต่เสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อผู้ถูกปล้นผู้ถูกยิงว่าชื่ออะไร
อยู่ที่ไหน ดูเหมือนจะบอกชื่อให้ฟังด้วย แต่ผู้เขียนมัวฉงนเสีย ไม่ได้จดจำไว้
คือเชื่อสนิทใจจนไม่สงสัยถึงแก่จะต้องจดชื่อไว้สอบถามเขาภายหลัง นึกได้ว่าคือ
คุณอรุณี สุจริตจิตต์ ภรรยาของคุณวัฒนา สุจริตจิตต์
อดีตนายอำเภอซึ่งเคยเป็นครูของข้าพเจ้า