๓๒. พระโพธิสัตว์คาถา
นโม โพธิสัตโต มหาสัตโต อวโลกิเตศวร
มเหศวร ราเมศวร ปรเมศวร พิฆเณศวร นเรศวร สิเนศวร ทัพเพศวร พุทเธศวร สักกาเรหิ โสตถิสาโภ ชัยโย นิจจัง ชัยยะตุ ภะวัง สัพพะศัตรู วินาสสันติ สัพพะ ทุกขะวินาสสันตุ สัพพภัยยะ วินาสสันติ สัพพะโรคะ วินาสสันติ ฯ
ต่อไปนี้จะกล่าวสรุปคำสอนของหลวงพ่อเงิน ที่ได้พูดได้เขียนไว้เท่าที่มีผู้จดจำไว้ได้ รวมทั้้งบทประพันธ์ บทกวี ทีหลวงพ่อแต่งไว้
๑. รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน
๒. กรรมเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานได้
๓. ถึงตัวเราตายแล้ว กรรมที่เราทำไว้ยังเป็นมรดกที่ยังเหลืออยู่
๔. ถ้าหากรักลูกรักหลาน รักญาติรักมิตร ก็อย่าประกอบกรรมชั่วอย่างใดเลย เพราะมันจะตกทอดถึงเขาด้วย
๕. จงอย่าเป็นคนติด จงเป็นผู้ก้าวหน้า
๖. การศึกษาเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้
ความรู้เป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์
การงานเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์
ทรัพย์เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข
ความสุขเป็นยอดปรารถนาของบุคคล
๗. จิตหาญ ใจพ้นทุกข์ สุขด้วยธรรม
๘. การใช้จ่ายโดยไม่มีประโยชน์เลย ก็เท่ากับประมาท ดูหมิ่นดูแคลนทรัพย์ ทรัพย์ก็จะค่อยๆหนีเราไปจนหมด ถ้ารักทรัพย์จะมีมากมีน้อยก็จะมาอยู่เป็นคู่สุขไปกับเราไปตลอดชาติ
๙. คนกะพี้ คือไม่มีแก่น คือความดีที่น่าปรารถนา
๑๐. คนรกในบริษัท ถ้ามีคนชนิดนี้อยู่ในหมู่ใดคณะใด หรือในประเทศใด ชาติใด ก็จะรกหมู่รกคณะรกประเทศรกชาตินั้น ที่สุดก็จะรกโลกนั่นเอง
๑๑. "เราย่อมไม่เล็งเห็น แม้ซึ่งธรรมข้อหนึ่ง ชนิดอื่นที่เป้นไปเพื่อความฉิบหายอย่างใหญ่หลวง เป็นเหตุยังอกุศล คือความชั่ว ซึ่งยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือยังกุศลคือความดี ซึ่งเกิดขึ้นแล้วให้เสือมไปรอบเหมือนกับความเกียจคร้าน ดังนี้แลภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเกียจคร้านอยู่ในธรรมวินัยอันเราตถาคตกล่าวดีแล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นทุกข์"
๑๒. ถ้าบุคคลเกิดเกียจคร้านขึ้นเวลาใด คุณสมบัติหรืออะไรอันมีอยู่ เป็นต้องวอดวายไปในเวลานั้น คนที่มีความรู้ศิลปวิทยาเครื่องดำรงตน ถ้าเกียจคร้านไม่หมั่นฝึกฝนซักซ้อม หรือประกอบใช้อยู่เนืองนิจ ความรู้ก็ต้องวิปริตเลอะเลือนเสื่อมคลายจนใช้การไม่่ได้ สมดังนัยพระพุทธภาษิตว่า อสชฺฌาย มลามนฺตา มนต์คือความรู้ทั้งหลาย เป็นมลทินเลอะเลือน เพราะไม่สังวัธยาย คือไม่ฝึกซ้อมประกอบใข้อยู่เสมอๆ
๑๓. เชื่อเถอะว่า คนที่มาลักของๆเราไป เขาเตรียมตัวไว้สำหรับไปเกิดเป็นบริวารของเราในชาติหน้า ฉันกลัวอย่างเดียวว่า เราจะยากจนไม่มีอะไรจะให้เขาลักขโมยเท่านั้น ชาติหน้าเราก็จะไม่มีบริวาร เพราะกรรมมันไม่แต่งให้เขามาเป็นบริวารของเรา
๑๔. สังขารคือร่างกายนั้น ก็เหมือนรถยนต์ คนขับก็เหมือนจิต ถ้าคนขับดี รถยนต์ก็ปลอดภัยดี ไม่คว่ำ ไม่ชน ไม่ตกเหว คนขับไม่ดีก็มีอันตราย ฉันใดฉันนั้น สังขารร่างกายของเรา ซึ่งมีจิตเป็นผู้ขับ ถุ้าใครจิตไม่ดี ก็อาจจะพาสังขารไปเป็นอันตราย
๑๕. กายยนต์ผุพังชำรุด จิตก็ต้องไปหากายใหม่ขับขี่ เหมือนคนขับรฃถ เมื่อรถชำรุดผุพังใช้การไม่ได้แล้ว ก็ต้องทิ้งเป็นเศษเหล็ก กระเสือกกระสนไปหารถคันใหม่ขับแทน ถ้าผู้นั้นมีเงินมีทรัพย์ก็สามารถหารถดีๆ มาขับขี่่ได้อีก ถ้าไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์ ก็ไม่มีรถคันใหม่มาใช้ หรือมีแต่น้อยก็ต้องหารถเลวๆ ราคาถูกๆ มาขับขึ่ อุปมาเหมือนจิตที่มิได้สร้างกุศลผลบุญไว้เลย เมื่อออกจากกายยนต์คันเก่าไปแล้ว คือตายจากสังขารเก่า ก็จะหาสังขารใหม่ไม่ได้ หรือถ้าหากจะได้ ก็ได้สังขารเลว เช่นว่า ไม่สวยงาม ไม่แข็งแรงและขี้โรค สามวันดีสี่วันไข้
๑๖. ธรรมะนั้นจะสอนให้ใครก็ต้องให้เขารับด้วย ถ้าเขาไม่ยอมรับฟังหรือจดจำ เอาไปปฎิบัติด้วยศรัทธาความเชื่อถือ เพียงแต่เขานิ่งฟังเพราะยังมีความนับถือเท่านั้น ธรรมะช่วยอะไรไม่ได้เลย เปรียบเเสมือนหนึ่งเราเป็นหมอ เขาเป็นคนไข้ บอกยาให้เขาต้มกิน เขาก็ไม่ต้มกิน เราสงสารเขาอุตส่าหฺ์ไปต้มมาให้เขาก็ไม่กิน เราสงสารกลัวเขาจะตายกรอกยาลงไปในปากเขา เขาบ้วนทิ้งเสียฉะนี้แล้ว จะไปช่วยคนไช้ได้อย่างไร ก็ต้องปล่อยให้เขาตายไปตามกรรม
๑๗. ป่าในใจ คือ โลภโกรธหลง ป่าทั้งสามอย่างนี้มีในใจของใคร ผู้น้ันก็จะกลายเป็นคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี มีความป่าเถื่อน ถึงกับสิงเอาความโหดร้ายเข้าไว้ในตน ดุจเอาวิญญาณของเสือสิงห์สัตว์เดรัจฉานทีมีแต่ความดุร้ายไว้ในตน ปล้นฆ่า ลักขโมย ปราศจากคุณงามความดีและอภัยทานใดๆทั้งสิ้น
๑๘.หนอนดอกไม้ ก็ว่าเกสรดอกไม้อร่อยดี หนอนในส้วมก็ว่าอุจจาระอร่อยหอมหวานดี
๑๙. ถ้าหากลูกเขาจะฆ่ากันเอง ก็นึกเสียว่าเป็นกรรมเก่าของเขาทั้งสองสร้างกันไว้ไม่ดี เคยให้ทุกขืกันมาแต่ปางก่อน
๒๐. อย่าเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย
เงินทองของมีค่าอย่ามักง่าย
ยามจนใครจะช่วยเจ้าก็เปล่าตาย
๒๑. ยามมั่งมีพวกพ้องนั่งมองหน้า
ใครก็ว่าเราดีมีศักดิ์ศรี
เมื่อยามจนแม้คนที่เคยรัก
ก็ยังผลักเรากระเด็นเห็นหรือยัง
๒๒. ต้นไม้ก็เหมือนจิตมนุษย์เรา ลิงบนต้นไม้ก็เหมือน ปาก นัยน์ตาและหู ถ้าต้นไม้ใดมีวานรท้ัง ๓ นี้ไว้ ไม่เชื่องซุกซนกระวนกระวายแล้วไซร้ ต้นไม้น้ันย่อมมีแต่ความอับเฉาตลอดเวลา
๒๓. การที่เหล็กจะมีสนิมหรือไม่ มันอยู่ที่สถานที่เก็บต่างหาก เหล็กดีๆ เอาไปแช่น้ำครำพักเดียวก็สนิมจับ
๒๔. การกระทำความดี กระทำบุญกุศลอะไรๆ ขอให้กระทำด้วยเจตนาหรือความตั้งใจจริงๆ อยาทำตามๆเขาไป
๒๕. หนึ่งทำนาทำสวน สองค้าขายหรือรับจ้าง สามรับราชการ ใครถนัดทางไหน ก็ต้ังใจทำเถอะ ร่ำรวยไม่จนหรือ ได้มาก็รู้จักใช้ รู้จักเก็บ อย่าใช้ในสิ่งที่ไมจำเป็น แล้วตั้งตัวได้ทุกคน
๒๖. ๑. เคารพวิชาที่เราเล่าเรียนฝึกฝนมา ทำอะไรอย่าทำชุ่ยๆ ทำให้ดีขึ้นเป็นลำดับ
๒. ทำอะไรให้คนอื่นก็ต้องทำให้ดี ให้เรียบร้อยสวยงาม เหมือนทำให้กับตัวเราเอง
๓. เมตตาสงสารเขา อย่าขูดเลือดเนื้อกันนัก เอาแต่พอสมควร
๔. ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น รักษาน้ำใจ รักษาเวลา และรักษาคุณภาพของกิจการไว้ให้ดีเสมอ
๒๗.ของขลังน้ันมันเกิดจากความตั้งใจ เมื่อเรามีความตั้งใจ รวมพลัง ๕ พร้อมกันเมื่อไร ก็เกิดพลังขึ้นเรียกว่า "พลธรรม" ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สามารถประกอบกิจการใดๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ นี่แหละคือความขลัง คนเราถ้าขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ต้องไปพึ่งพาสิ่งภายนอกแล้วก็ไม่ขลัง ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าใหญ่นายโต จะทำนาค้าขาย จะม่ั่งมีทรัพย์สมบัติล้วนขึ้นอยู่กับพลธรรม ๕ นี้
๒๘. เจอของตกก้มิให้เก็บ เพราะชาติหน้าต้องไปใช้หนึ้เป็นบริวารเขา
๒๙. เข้าไปในนา ก็ไม่ให้เหยียบข้าวของเขา จะบาปต้องไปใช้หนึ้เขาในชาติหน้า
๓๐.ลักขโมยของเขาเป็นบาป ชาติหน้าต้องไปใช้หนี้เป็นขี้ข้าเขา
๓๑. ทรัพย์สมบัติของสถานที่สาธารณะไม่ว่าอะไร ถ้าเราเอามาละก็เป็นบาปทั้งน้ัน แม้แต่ดินที่ติดอยู่กับฝ่าเท้า เวลาจะออกจากวัดก็บาป เพื่อป้องกันบาปขาเข้าวัด ให้นำดินมาถมวัดก้อนหนึ่ง แม้จะเล็กเท่าลูกกระสุนหรือเล็กกว่าน้ันก็ยังดี
๓๒. หากมีอาวุธเข้าไปในวัด จะเป็นมีด ไม้ หรือเป็นอย่างใดก็ตาม ต้องเอาผ้าปิดเสียให้มิดชิด แสดงคารวะสถานที่ธรณีสงฆ์ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์
๓๓. แม้จะเดินในวัดวา ก็ต้องมีกิริยาเรียบร้อยสุภาพ นุ่งโสร่ง นุ่งหยักรั้งถกเขมนเข้าวัดนั้นไม่่ดี ไม่เคารพพระพุทธศาสนา ไม่เชิดชูพระพุทธศาสนา เป็นบาป พูดจาในวัดก็ต้องระมัดระวัง จะหยาบคายไม่ได้
๓๔. เข้าวัดเห็นโบสถ์วิหาร พระเจดีย์ ต้นโพธฺิ ให้ภาวนาคาถาว่า
"วันทามิ อามาเม พัทธเสมายัง เจติยัง สัพพังสัพพฐาเน สุปะติฎฐิตัง สารีริกะธาตุ มหาโพธิง พุทธะรูปัง สักการัง สทา วันทามิ พุทธัง สังฆัง วันทามิ ฯ"
๓๕. ขากลับออกจากวัดให้มองดู พบมูลฝอยสิ่งใดทำให้วัดสกปรก ต้องเก็บติดมือออกไปทิ้งนอกวัด การทำดังนี้ ลูกหลานจะได้บุญ ทั้งชาตินี้ชาติหน้า จะมีร่างกายสะอาด สวยงาม ผิวพรรณผุดผ่อง
๓๖. พระพุทธศาสนาจะเจริญหรือเสื่อม มิได้อยู่ที่มีวัดน้อยวัดมาก หรือมีคนบวชมาก อยู่ที่คนเข้าใจศาสนา มีการศึกษา มีการปฎิบัติอย่างถูกต้องเป็นปัจจัยสำคัญ
๓๗. เราพากันบวชเรียนเยอะแยะ แต่บวชแล้วมิได้เล่าเรียนศึกษา หาความรู้ความเข้าใจหลักธรรม แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ค้ำจุนศาสนา ก็เท่่ากับศาสนาของเรามีแต่เปลือก มีแต่กระพี้ หาแก่นสารอะไรมิได้
๓๘.ความดีที่เราทำแล้วเขาไม่รู้นี่แหละวิเศษนัก เพราะเรารู้เองว่าเราทำดีหรือทำชั่วแก่เขา ความสุขสบายใจเกิดจากใจของคนอื่นเมื่อไรเล่า มันจะสุขใจ ทุกข์ใจ ดีใจ เสียใจ ก็อยู่ที่หัวใจเราต่างหาก
๓๙. ในถิ่นกำแพงแสน และวัดสามง่ามนั้น ถ้าไม่มีพระอย่างหลวงพ่อเต๋อยู่ละก็ น่ากลัวคนไทยจะหันเข้าไปพึ่งโรงพยาบาลฝรั่งกันหมด นานไปศาสนาพุทธก็จะไม่มีใครนิยมนับถือ เพราะเราไม่มีอะไรจะดึงดูด จูงใจให้เขานับถือ
๖. การศึกษาเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้
ความรู้เป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์
การงานเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์
ทรัพย์เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข
ความสุขเป็นยอดปรารถนาของบุคคล
๗. จิตหาญ ใจพ้นทุกข์ สุขด้วยธรรม
๘. การใช้จ่ายโดยไม่มีประโยชน์เลย ก็เท่ากับประมาท ดูหมิ่นดูแคลนทรัพย์ ทรัพย์ก็จะค่อยๆหนีเราไปจนหมด ถ้ารักทรัพย์จะมีมากมีน้อยก็จะมาอยู่เป็นคู่สุขไปกับเราไปตลอดชาติ
๙. คนกะพี้ คือไม่มีแก่น คือความดีที่น่าปรารถนา
๑๐. คนรกในบริษัท ถ้ามีคนชนิดนี้อยู่ในหมู่ใดคณะใด หรือในประเทศใด ชาติใด ก็จะรกหมู่รกคณะรกประเทศรกชาตินั้น ที่สุดก็จะรกโลกนั่นเอง
๑๑. "เราย่อมไม่เล็งเห็น แม้ซึ่งธรรมข้อหนึ่ง ชนิดอื่นที่เป้นไปเพื่อความฉิบหายอย่างใหญ่หลวง เป็นเหตุยังอกุศล คือความชั่ว ซึ่งยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือยังกุศลคือความดี ซึ่งเกิดขึ้นแล้วให้เสือมไปรอบเหมือนกับความเกียจคร้าน ดังนี้แลภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเกียจคร้านอยู่ในธรรมวินัยอันเราตถาคตกล่าวดีแล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นทุกข์"
๑๒. ถ้าบุคคลเกิดเกียจคร้านขึ้นเวลาใด คุณสมบัติหรืออะไรอันมีอยู่ เป็นต้องวอดวายไปในเวลานั้น คนที่มีความรู้ศิลปวิทยาเครื่องดำรงตน ถ้าเกียจคร้านไม่หมั่นฝึกฝนซักซ้อม หรือประกอบใช้อยู่เนืองนิจ ความรู้ก็ต้องวิปริตเลอะเลือนเสื่อมคลายจนใช้การไม่่ได้ สมดังนัยพระพุทธภาษิตว่า อสชฺฌาย มลามนฺตา มนต์คือความรู้ทั้งหลาย เป็นมลทินเลอะเลือน เพราะไม่สังวัธยาย คือไม่ฝึกซ้อมประกอบใข้อยู่เสมอๆ
๑๓. เชื่อเถอะว่า คนที่มาลักของๆเราไป เขาเตรียมตัวไว้สำหรับไปเกิดเป็นบริวารของเราในชาติหน้า ฉันกลัวอย่างเดียวว่า เราจะยากจนไม่มีอะไรจะให้เขาลักขโมยเท่านั้น ชาติหน้าเราก็จะไม่มีบริวาร เพราะกรรมมันไม่แต่งให้เขามาเป็นบริวารของเรา
๑๔. สังขารคือร่างกายนั้น ก็เหมือนรถยนต์ คนขับก็เหมือนจิต ถ้าคนขับดี รถยนต์ก็ปลอดภัยดี ไม่คว่ำ ไม่ชน ไม่ตกเหว คนขับไม่ดีก็มีอันตราย ฉันใดฉันนั้น สังขารร่างกายของเรา ซึ่งมีจิตเป็นผู้ขับ ถุ้าใครจิตไม่ดี ก็อาจจะพาสังขารไปเป็นอันตราย
๑๕. กายยนต์ผุพังชำรุด จิตก็ต้องไปหากายใหม่ขับขี่ เหมือนคนขับรฃถ เมื่อรถชำรุดผุพังใช้การไม่ได้แล้ว ก็ต้องทิ้งเป็นเศษเหล็ก กระเสือกกระสนไปหารถคันใหม่ขับแทน ถ้าผู้นั้นมีเงินมีทรัพย์ก็สามารถหารถดีๆ มาขับขี่่ได้อีก ถ้าไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์ ก็ไม่มีรถคันใหม่มาใช้ หรือมีแต่น้อยก็ต้องหารถเลวๆ ราคาถูกๆ มาขับขึ่ อุปมาเหมือนจิตที่มิได้สร้างกุศลผลบุญไว้เลย เมื่อออกจากกายยนต์คันเก่าไปแล้ว คือตายจากสังขารเก่า ก็จะหาสังขารใหม่ไม่ได้ หรือถ้าหากจะได้ ก็ได้สังขารเลว เช่นว่า ไม่สวยงาม ไม่แข็งแรงและขี้โรค สามวันดีสี่วันไข้
๑๖. ธรรมะนั้นจะสอนให้ใครก็ต้องให้เขารับด้วย ถ้าเขาไม่ยอมรับฟังหรือจดจำ เอาไปปฎิบัติด้วยศรัทธาความเชื่อถือ เพียงแต่เขานิ่งฟังเพราะยังมีความนับถือเท่านั้น ธรรมะช่วยอะไรไม่ได้เลย เปรียบเเสมือนหนึ่งเราเป็นหมอ เขาเป็นคนไข้ บอกยาให้เขาต้มกิน เขาก็ไม่ต้มกิน เราสงสารเขาอุตส่าหฺ์ไปต้มมาให้เขาก็ไม่กิน เราสงสารกลัวเขาจะตายกรอกยาลงไปในปากเขา เขาบ้วนทิ้งเสียฉะนี้แล้ว จะไปช่วยคนไช้ได้อย่างไร ก็ต้องปล่อยให้เขาตายไปตามกรรม
๑๗. ป่าในใจ คือ โลภโกรธหลง ป่าทั้งสามอย่างนี้มีในใจของใคร ผู้น้ันก็จะกลายเป็นคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี มีความป่าเถื่อน ถึงกับสิงเอาความโหดร้ายเข้าไว้ในตน ดุจเอาวิญญาณของเสือสิงห์สัตว์เดรัจฉานทีมีแต่ความดุร้ายไว้ในตน ปล้นฆ่า ลักขโมย ปราศจากคุณงามความดีและอภัยทานใดๆทั้งสิ้น
๑๘.หนอนดอกไม้ ก็ว่าเกสรดอกไม้อร่อยดี หนอนในส้วมก็ว่าอุจจาระอร่อยหอมหวานดี
๑๙. ถ้าหากลูกเขาจะฆ่ากันเอง ก็นึกเสียว่าเป็นกรรมเก่าของเขาทั้งสองสร้างกันไว้ไม่ดี เคยให้ทุกขืกันมาแต่ปางก่อน
๒๐. อย่าเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย
เงินทองของมีค่าอย่ามักง่าย
ยามจนใครจะช่วยเจ้าก็เปล่าตาย
๒๑. ยามมั่งมีพวกพ้องนั่งมองหน้า
ใครก็ว่าเราดีมีศักดิ์ศรี
เมื่อยามจนแม้คนที่เคยรัก
ก็ยังผลักเรากระเด็นเห็นหรือยัง
๒๒. ต้นไม้ก็เหมือนจิตมนุษย์เรา ลิงบนต้นไม้ก็เหมือน ปาก นัยน์ตาและหู ถ้าต้นไม้ใดมีวานรท้ัง ๓ นี้ไว้ ไม่เชื่องซุกซนกระวนกระวายแล้วไซร้ ต้นไม้น้ันย่อมมีแต่ความอับเฉาตลอดเวลา
๒๓. การที่เหล็กจะมีสนิมหรือไม่ มันอยู่ที่สถานที่เก็บต่างหาก เหล็กดีๆ เอาไปแช่น้ำครำพักเดียวก็สนิมจับ
๒๔. การกระทำความดี กระทำบุญกุศลอะไรๆ ขอให้กระทำด้วยเจตนาหรือความตั้งใจจริงๆ อยาทำตามๆเขาไป
๒๕. หนึ่งทำนาทำสวน สองค้าขายหรือรับจ้าง สามรับราชการ ใครถนัดทางไหน ก็ต้ังใจทำเถอะ ร่ำรวยไม่จนหรือ ได้มาก็รู้จักใช้ รู้จักเก็บ อย่าใช้ในสิ่งที่ไมจำเป็น แล้วตั้งตัวได้ทุกคน
๒๖. ๑. เคารพวิชาที่เราเล่าเรียนฝึกฝนมา ทำอะไรอย่าทำชุ่ยๆ ทำให้ดีขึ้นเป็นลำดับ
๒. ทำอะไรให้คนอื่นก็ต้องทำให้ดี ให้เรียบร้อยสวยงาม เหมือนทำให้กับตัวเราเอง
๓. เมตตาสงสารเขา อย่าขูดเลือดเนื้อกันนัก เอาแต่พอสมควร
๔. ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น รักษาน้ำใจ รักษาเวลา และรักษาคุณภาพของกิจการไว้ให้ดีเสมอ
๒๗.ของขลังน้ันมันเกิดจากความตั้งใจ เมื่อเรามีความตั้งใจ รวมพลัง ๕ พร้อมกันเมื่อไร ก็เกิดพลังขึ้นเรียกว่า "พลธรรม" ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สามารถประกอบกิจการใดๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ นี่แหละคือความขลัง คนเราถ้าขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ต้องไปพึ่งพาสิ่งภายนอกแล้วก็ไม่ขลัง ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าใหญ่นายโต จะทำนาค้าขาย จะม่ั่งมีทรัพย์สมบัติล้วนขึ้นอยู่กับพลธรรม ๕ นี้
๒๘. เจอของตกก้มิให้เก็บ เพราะชาติหน้าต้องไปใช้หนึ้เป็นบริวารเขา
๒๙. เข้าไปในนา ก็ไม่ให้เหยียบข้าวของเขา จะบาปต้องไปใช้หนึ้เขาในชาติหน้า
๓๐.ลักขโมยของเขาเป็นบาป ชาติหน้าต้องไปใช้หนี้เป็นขี้ข้าเขา
๓๑. ทรัพย์สมบัติของสถานที่สาธารณะไม่ว่าอะไร ถ้าเราเอามาละก็เป็นบาปทั้งน้ัน แม้แต่ดินที่ติดอยู่กับฝ่าเท้า เวลาจะออกจากวัดก็บาป เพื่อป้องกันบาปขาเข้าวัด ให้นำดินมาถมวัดก้อนหนึ่ง แม้จะเล็กเท่าลูกกระสุนหรือเล็กกว่าน้ันก็ยังดี
๓๒. หากมีอาวุธเข้าไปในวัด จะเป็นมีด ไม้ หรือเป็นอย่างใดก็ตาม ต้องเอาผ้าปิดเสียให้มิดชิด แสดงคารวะสถานที่ธรณีสงฆ์ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์
๓๓. แม้จะเดินในวัดวา ก็ต้องมีกิริยาเรียบร้อยสุภาพ นุ่งโสร่ง นุ่งหยักรั้งถกเขมนเข้าวัดนั้นไม่่ดี ไม่เคารพพระพุทธศาสนา ไม่เชิดชูพระพุทธศาสนา เป็นบาป พูดจาในวัดก็ต้องระมัดระวัง จะหยาบคายไม่ได้
๓๔. เข้าวัดเห็นโบสถ์วิหาร พระเจดีย์ ต้นโพธฺิ ให้ภาวนาคาถาว่า
"วันทามิ อามาเม พัทธเสมายัง เจติยัง สัพพังสัพพฐาเน สุปะติฎฐิตัง สารีริกะธาตุ มหาโพธิง พุทธะรูปัง สักการัง สทา วันทามิ พุทธัง สังฆัง วันทามิ ฯ"
๓๕. ขากลับออกจากวัดให้มองดู พบมูลฝอยสิ่งใดทำให้วัดสกปรก ต้องเก็บติดมือออกไปทิ้งนอกวัด การทำดังนี้ ลูกหลานจะได้บุญ ทั้งชาตินี้ชาติหน้า จะมีร่างกายสะอาด สวยงาม ผิวพรรณผุดผ่อง
๓๖. พระพุทธศาสนาจะเจริญหรือเสื่อม มิได้อยู่ที่มีวัดน้อยวัดมาก หรือมีคนบวชมาก อยู่ที่คนเข้าใจศาสนา มีการศึกษา มีการปฎิบัติอย่างถูกต้องเป็นปัจจัยสำคัญ
๓๗. เราพากันบวชเรียนเยอะแยะ แต่บวชแล้วมิได้เล่าเรียนศึกษา หาความรู้ความเข้าใจหลักธรรม แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ค้ำจุนศาสนา ก็เท่่ากับศาสนาของเรามีแต่เปลือก มีแต่กระพี้ หาแก่นสารอะไรมิได้
๓๘.ความดีที่เราทำแล้วเขาไม่รู้นี่แหละวิเศษนัก เพราะเรารู้เองว่าเราทำดีหรือทำชั่วแก่เขา ความสุขสบายใจเกิดจากใจของคนอื่นเมื่อไรเล่า มันจะสุขใจ ทุกข์ใจ ดีใจ เสียใจ ก็อยู่ที่หัวใจเราต่างหาก
๓๙. ในถิ่นกำแพงแสน และวัดสามง่ามนั้น ถ้าไม่มีพระอย่างหลวงพ่อเต๋อยู่ละก็ น่ากลัวคนไทยจะหันเข้าไปพึ่งโรงพยาบาลฝรั่งกันหมด นานไปศาสนาพุทธก็จะไม่มีใครนิยมนับถือ เพราะเราไม่มีอะไรจะดึงดูด จูงใจให้เขานับถือ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น